“บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า การเตรียมทัพนักกีฬาไทย เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ในปี 2023 ที่ประเทศกัมพูชานั้น การเก็บตัวฝึกซ้อมก็จะทำต่อเนื่องไปเลย ซึ่งถึงตอนนี้มีเวลาอีกไม่ถึงปีแล้วสำหรับการเตรียมเข้าร่วมซีเกมส์ครั้งถัดไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งต่อไปจะมีความสนุกตื่นเต้น เนื่องจากต้องยอมรับว่า กัมพูชาอาจจะไม่ได้เป็นชาติที่ครองเจ้าเหรียญทอง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเตรียมพร้อมในช่วงระยะเวลาที่เหลืออีกไม่มากแล้ว
ดร.ก้องศักด กล่าวอีกว่า ส่วนการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในปี 2025 นั้น เราจะเน้นเรื่องมาตรฐานการจัดการแข่งขันต่างๆ ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น โดยทาง กกท. และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีความเห็นพ้องร่วมกันกับทางคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ว่าจะทำให้กีฬาซีเกมส์ได้การยอมรับมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะเน้นบรรจุชนิดกีฬาสากลเข้ามาชิงชัย เน้นเรื่องการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานสากลจริงๆ รวมทั้งมาตรฐานการตัดสินจะต้องเป็นที่ยอมรับได้ และมาตรฐานเรื่องสถานที่พัก การดูแลนักกีฬาต่างๆ
“นอกจากมาตรฐานจัดการแข่งขันแล้ว เราก็จะเน้นเรื่องสปิริตน้ำใจนักกีฬา เราจะไม่ได้เน้นว่า เราจะต้องทำอย่างไรให้เราชนะเป็นเจ้าเหรียญทอง แต่ว่าเราจะทำให้กีฬาซีเกมส์เป็นที่ยอมรับ และพยายามทำให้ทุกคนมองเห็นว่า นักกีฬาที่ได้เหรียญทองซีเกมส์ถือว่าได้มาตรฐานเดียวกันกับเอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์” ผู้ว่าการ กกท.กล่าว
ดร.ก้องศักด กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้มีการหารือกับทางเวียดนามในการแลกเปลี่ยนโค้ชแต่ละชนิดกีฬาที่แต่ละชาติมีความถนัด เพราะเราอยากที่จะเดินไปด้วยกันในการพัฒนาก้าวไปสู่ระดับชั้นนำของเอเชียที่เป็นจุดหมายร่วมกัน เนื่องจากไม่ได้ต้องการที่จะโดดเด่นอยู่ชาติเดียว เพราะการที่มีคู่แข่งที่สูสีกันก็จะถือเป็นการพัฒนาที่ดีขึ้นด้วย
“การแลกเปลี่ยนทั้งเรื่องผู้ฝึกสอน และวิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นเป้าหมายของ 2 ประเทศที่เห็นตรงกัน โดยไทยก็อาจจะช่วยส่งเสริมเรื่องกีฬาอย่างเช่น แบดมินตันที่เราโดดเด่น แต่หลายกีฬาของเวียดนามก็โดดเด่นกว่าของเรา โดยเฉพาะกีฬาต่อสู้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้เก่งทุกอย่าง และเวียดนามก็ไม่ได้เก่งทุกอย่าง จึงจะต้องมีความร่วมมือที่จะแลกเปลี่ยนกัน” ผู้ว่าการฯ กกท.กล่าวปิดท้าย