คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
สัปดาห์นี้เริ่มต้นด้วยความผิดหวังของกระผมเอง หลัง ฟีนิกซ์ ซันส์ ถูกเขี่ยตกรอบรองชนะเลิศ สายตะวันตก เกมที่ 7 ช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 พ.ค.) ตามเวลาบ้านเรา จึงอดเห็น คริส พอล ที่ใครต่อใครขนานนามว่า “Point God” หรือ “การ์ดจ่ายขั้นเทพ” อดฉลองแชมป์บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) สมัยแรกของอาชีพ แต่ยังมีแนวโน้ม “CP3 (ซีพีทรี)” จะกลับมาสู้ต่อฤดูกาลหน้า
การแข่งขันเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของสายตะวันออก และ ตะวันตก โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส ถูกยกเป็นเต็ง 1 เหนืออีก 3 ทีมที่เหลืออยู่ ด้วยขุมกำลังเชิงลึก (squad depth) ซึ่ง สตีฟ เคอร์ เฮดโค้ช เพื่อพลิกสถานการณ์ รวมถึงเครดิตจากความสำเร็จตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ โกลเดน สเตท ใช่ว่าจะเป็นทีมที่แพ้ไม่เป็น จึงใคร่ขอนำบทวิเคราะห์สาเหตุที่ ดัลลัส มาเวอริกส์ จะครองแชมป์ฝั่ง เวสเทิร์น คอนเฟอเรนซ์ สมัยแรก นับตั้งแต่ปี 2011 มาให้ท่านผู้อ่าน หรือกองแช่งติดตามกัน
1.เทิร์นโอเวอร์ เกมของ ดัลลัส อยู่ภายใต้การควบคุมของ ลูกา ดอนซิช การ์ดชาวสโลวีเนีย บ่อยครั้งเราจะเห็นเพลย์ Isolate หรือตัวต่อตัว จุดนี้ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่เสียเทิร์นโอเวอร์ และเปอร์เซ็นต์เสียเทิร์นโอเวอร์ค่อนข้างต่ำ ขณะที่ วอร์ริเออร์ส ไม่ใช่ทีมที่เซ็ตเพลย์ด้วยความแน่นอน มักพยายามจ่ายบอลยากๆ หรือเหนือความคาดหมายของฝ่ายป้องกันจนนำไปสู่ความผิดพลาด ตามสถิติ โกลเดน สเตท เสียการครองบอล และเปอร์เซ็นต์เทิร์นโอเวอร์มากสุดอันดับ 2 ของลีก
มาเวอริกส์ ทำสกอร์ 224 แต้ม จากการเสียบอลของคู่แข่ง เฉพาะเพลย์ออฟ มากกว่าคะแนนที่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ทำสกอร์จากความผิดพลาดของตัวเอง 75 แต้ม ผลต่างมากสุดเทียบกับทีมที่อยู่รอดจนถึงซีรีส์ชิงแชมป์สาย (รองลงมา คือ ไมอามี ฮีต +49) และผลต่างการทำคะแนนจากเทิร์นโอเวอร์ของ โกลเดน สเตท ปัจจุบันติดลบอยู่ 15 แต้ม (184-199)
2.เก็บ เคอร์รี ใส่กระเป๋า มาเวอริกส์ เคยหยุด สตีเฟน เคอร์รี การ์ดจอมแม่น วอร์ริเออร์ส จนยิง 3 คะแนนเข้าเป้าแค่ 29.4 เปอร์เซ็นต์ ช่วงฤดูกาลปกติ นับเป็นสถิติแย่สุดของ ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 2 สมัย ในการดวลกับทีมอื่นๆ มากกว่า 2 เกม โดยเฉพาะ 3 แรกของการพบกัน ยิง 9 ลง 1, ยิง10 ลง 2, ยิง 10 ลง 3 ตามลำดับ ก่อนเข้าฝักในการดวลกันครั้งที่ 4 ยิง 5 ลง 4
เหล่า “ดับ เนชันส์” อาจมองว่าสถิติดังกล่าวเกิดเพราะความฟลุกล้วนๆ แต่ ดัลลัส แสดงให้เห็นถึงเกมรับอันเหนียวแน่นมาแล้ว ไม่เพียงรั้งอันดับ 6 ร่วมของลีกกับ วอร์ริเออร์ส แต่ยังเล่นงาน พอล กับ เดวิน บูเกอร์ มาแล้ว ในเกมตัดสินของซีรีส์ รอบรองชนะเลิศสายตะวันตก
3.ขาดคนหยุด ดอนซิช มีความเป็นไปได้ว่า กรีน จะไม่ได้ทำหน้าที่คุม ดอนซิช เพราะมักถูกใช้งานในการเล่นโพสต์ตัวต่อตัว และป้วนเปี้ยนอยู่ด้านในเส้น 3 คะแนนมากกว่า ดังนั้นภารกิจนี้อาจขึ้นอยู่กับ แอนดรูว์ วิกกินส์ ฟอร์เวิร์ดชาวแคนาดา เป็นด่านแรก และมีสิทธิ์กลายเป็นจุดอ่อน หลังปล่อยให้ ดอนซิช ยิงฟิลด์โกลเข้าเป้า 6 จาก 8 ลูก (75 เปอร์เซ็นต์) ตลอดการตามประกบ 9 นาทีเศษ ช่วงฤดูกาลปกติ ดีกว่าการตามประกบของ แกรี เพย์ตัน เดอะ เซคันด์ ซึ่งปัจจุบันได้รับบาดเจ็บ เพียงเล็กน้อย (ดอนซิช ยิง 5 ลง 4) และแย่กว่า เคอร์รี ประกบ (ดอนซิช ยิง 12 ลง 5) แถม วิกกินส์ ยังโดนฟาวล์เอาท์ (ฟาวล์บุคคลครบ 6 ครั้ง) ครั้งเดียวของซีซัน เกมพ่าย แมฟส์ 101-107เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
4.การป้องกัน 3 แต้ม จุดสำคัญจุดหนึ่งของซีรีส์ คือ โกลเดน สเตท ค้นพบ “สแปลช บราเธอร์ส” คนที่ 3 คือ จอร์แดน พูล ต่อจาก เคอร์รี กับ เคลย์ ธอมป์สัน ซึ่งทำให้ วอร์ริเออร์ส เป็นทีมที่ป้องกันยากกว่าเดิม ทว่า แมฟส์ เสียคะแนนจากการยิงระยะไกลของคู่แข่งต่ำกว่า 11 ลูกต่อเกม น้อยสุดของลีก และปล่อยให้ส่องเข้าเป้าแค่ 32.3 เปอร์เซ็นต์ ต่ำสุดอันดับ 3 หากพิจารณาตลอดการพบกัน 4 ครั้ง ทีมของ เจสัน คิดด์ ยิง 3 คะแนนเข้าเป้ามากกว่า 3 เกม และชนะทั้ง 3 เกม ช่วงฤดูกาลปกติ
มาเวอริกส์ ยิง 3 คะแนนดีสุดอันดับ 10 ช่วงเรกูลาร์ ซีซัน แถมยังสามารถขน 5 ตัวจริง ที่มีทีเด็ดด้านลูกยิง 3 คะแนนพร้อมกัน รวม เดวิส เบอร์ทานส์ และ มักซี เคลเบอร์ จุดสังเกตที่ว่า ดัลลัส เหนือกว่า วอร์ริเออร์ส ด้านลูกยิงระยะไกล ทำให้ วอร์ริเออร์ส ต้องเน้นเรื่องการครองบอลมากขึ้น และตัวอย่างของ ฟีนิกซ์ ทีมที่เน้นการยิงระยะกลางจาก บูเกอร์ กับ พอล มากกว่า แต่บทสรุป 3 แต้ม ย่อมมากกว่า 2 แต้ม เสมอ