ปาฎิหาริย์ ที่สนาม ซานติอาโก เบร์นาเบว ในค่ำคืนเกม ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เมื่อ รีล มาดริด ซัด 2 ประตูโกงตาย ต่อเวลาพิเศษก่อนดับ แมนเชสเตอร์ ซิตี 3-1 ทะลุเข้ารอบชิงพบกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มีขึ้นวันที่ 28 พฤษภาคนี้ ณ สนาม สต๊าด เดอ ฟรองซ์ ประเทศฝรั่งเศส
เกมรอบตัดเชือกนัดสองเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี เยือนถิ่น ซานติอาโก เบร์นาเบว โดยกุมความได้เปรียบจากนัดแรก 4-3 เหนือเจ้าถิ่นในเกมนี้ คือ รีล มาดริด ดีกรีแชมป์ยุโรปสูงสุด 13 สมัย
ครึ่งแรกเกมค่อนข้างตึงเครียดก่อนที่นาที 73 จะเป็นทีมเยือน แมนฯ ซิตี ที่ขึ้นนำ 1-0 จากการยิงของ ริยาด มาห์เรซ จากนั้น รีล มาดริด แก้เกมเปลี่ยนตัว 3 คนติดๆ กัน เปลี่ยนกองกลางยกแผง ส่ง โรดริโก, เอดูอาร์โด กามาแวงก้า และ มาร์โก อเซนซิโอ ลงมาแทน โทนี โครส, ลูก้า โมดริช และ กาเซมิโร
จากนั้นนาที 90 กับ 90+1 รีล มาดริด โกงตายแบบเหลือเชื่อ ซัด 2 ประตูจาก โรดริโก คนเดียวแซงนำ แมนฯซิตี 2-1 ก่อนจบเกมไปด้วยสกอร์นี้ รวมผล 2 นัดทั้งสองทีมเสมอกัน 5-5 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
โมเมนตัมเกมเทไปทาง รีล มาดริด ที่มาได้จุดโทษจากการทำฟาวล์ของ รูเบน ดิอาซ ใส่ คาริม เบนเซม่า และเป็นหอกชาวฝรั่งเศสลุกขึ้นมากดประตูที่ 15 ของตนเองในถ้วยยุโรปปีนี้ไม่พลาดส่งให้ทีมขึ้นนำ 3-1 ในนาทีที่ 95
ก่อนที่จะจบเกม รีล มาดริด เปิดบ้านต่อเวลาชนะ แมนฯ ซิตี 3-1 รวม 2 นัดชนะ 6-5 ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ขณะที่ “เรือใบสีฟ้า” อกหักวืดเข้าชิง 2 ปี ติดต่อกันและต้องรอแชมป์ยุโรปสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรต่อไป
รีล มาดริด เข้าชิงหนที่ 2 รอบ 5 ปีหลังสุด โดยปีสุดท้ายที่ได้แชมป์ คือ ฤดูกาล 2017-18 ชนะ ลิเวอร์พูล 3-1 ซึ่งปีนี้ก็จะได้พบกับ “หงส์แดง” อีกครั้งที่เข้าชิงเป็นหนที่ 3 รอบ 5 ปี หลังสุดและยังอยู่บนเส้นทางลุ้น 4 แชมป์