คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
ย้อนกลับไปช่วงพรีซีซัน ศึกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) 2021-22 บรูกลิน เน็ตส์ ภายใต้การนำของ 3 ซูเปอร์สตาร์ เควิน ดูแรนท์, เจมส์ ฮาร์เดน และ คายรี เออร์วิง ถูกตั้งความหวังว่า จะกลายเป็นทีมที่กอดคอกันฉลอง ยืนชักภาพหมู่พร้อมโทรฟี “แลร์รี โอ'ไบรอัน” แต่บทสรุปพวกเขากลายเป็นทีมแรกที่ตกรอบแรกเพลย์ออฟ แบบถูก บอสตัน เซลติกส์ กวาดซีรีส์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (26 เม.ย.) ตามบ้านเรา
หลังจบซีซันด้วยผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย ดูแรนท์ ยอมรับสิ่งรบกวนหลายๆ อย่างนอกสนาม ส่งผลกระทบต่อการไล่ล่าแชมป์สมัยแรกของแฟรนไชส์ เริ่มตั้งแต่ประเด็น เออร์วิง ยืนกรานปฏิเสธรับวัคซีน โควิด-19 ตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูกาลปกติ ตามมาตรการป้องกันโรคระบาดของ มหานคร นิว ยอร์ก เป็นเหตุให็ เน็ตส์ สั่งแบน เพราะไม่ต้องการใช้งานผู้เล่นแบบ พาร์ท-ไทม์ ก่อนเรียกตัวกลับมาลงเล่นเกมเยือน เมื่อเดือนธันวาคม 2021
ต่อมา ฮาร์เดน เริ่มมีข่าวเชื่อมโยงการเทรด ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เน็ตส์ จึงตัดสินใจปิดฉากยุค “บิ๊ก 3” ซึ่งร่วมงานกันมานาน 13 เดือน ปล่อย “เคราเฟิ้ม (The Beard)” ย้ายไป ฟิลาเดลเฟีย เซเวนตีซิกเซอร์ส พร้อมกับ พอล มิลล์แซ็ป ฟอร์เวิร์ดสำรอง แลก เบน ซิมมอนส์, เซ็ธ เคอร์รี, อังเดร ดรัมมอนด์ และ 2 สิทธิ์ดราฟต์รอบแรก โดย ซิมมอนส์ ไม่ได้ลงเล่นเลย เนื่องจากอาการบาดเจ็บหลัง และปัญหาสภาพจิตใจ ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่อยู่ ฟิลาเดลเฟีย
เออร์วิง ได้รับไฟเขียวลงเล่นเกมเหย้า ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังการยกเลิกมาตรการอันเข้มงวดด้านการป้องกัน ไวรัสโคโรนา ขณะนั้น เน็ตส์ ยังอาศัย “เคดี” แบกทีม หลังกลับมาจากอาการเจ็บเอ็นหัวเข่า กระทั่งจบฤดูกาลปกติด้วยสถิติ ชนะ 44 แพ้ 38 คว้าโควตา ทีมวางอันดับ 7 ของเพลย์ออฟ ทำให้ใครต่อใครคาดหวังว่า บรูกลิน อาจเป็นทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ ช่วงโพสต์ซีซัน แม้จะเหลือซูเปอร์สตาร์แค่ 2 คน ก่อนแพ็กกระเป๋ากลับบ้านแบบหมดรูป
สาเหตุที่ เน็ตส์ ตกรอบ ต้องยกเครดิตแก่เกมป้องกัน บอสตัน เซลติกส์ อันเหนียวแน่น ซึ่งปล่อยให้ ดูแรนท์ ยิงฟิลด์โกลเข้าเป้าแค่ 19 จาก 52 ครั้ง เสีย 17 เทิร์นโอเวอร์ ตลอด 3 เกมแรกของซีรีส์ สำหรับเกม 4 แม้ว่า ดูแรนท์ ซัดไป 39 แต้ม 7 รีบาวน์ด 9 แอสซิสต์ แต่ลองพิจารณาสถิติต่างๆ ปรากฏว่า เขายิงฟิลด์โกลแค่ 13 จาก 31 ลูก ระยะ 3 คะแนนแค่ 3 จาก 11 ลูก
ขอแวะมาที่ บอสตัน สักครู่หนึ่ง พวกเขาสถิติต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ หรือแปลไทยเป็นไทยว่า แพ้มากกว่าชนะ ช่วงครึ่งแรกของฤดูกาลปกติ ก่อนเครื่องติด ชนะ 31 จาก 41 เกมสุดท้าย โดยมี เจย์สัน เททัม ฟอร์เวิร์ดแม่ทัพ เป็นหัวใจสำคัญของเกมบุกของ ทีมที่มีการป้องกันดีสุดของลีก และยัดเยียดความปราชัยเพลย์ออฟ รอบแรก แก่ เคดี นับตั้งแต่อยู่ โอกลาโฮมา ซิตี ธันเดอร์ เมื่อปี 2010
กลับมายัง บรูกลิน เวลานี้พวกเขาต้องมุ่งสู่ช่วงออฟซีซัน (ปิดฤดูกาล) โดยภารกิจสำคัญ คือ ต่อสัญญา เออร์วิง ซึ่งฉบับเดิมเหลือเพียง เพลเยอร์ อ็อปชัน ฤดูกาล 2022-23 มูลค่า 36.5 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1,255 ล้านบาท) หากพิจารณาบทสัมภาษณ์ของ เออร์วิง เชื่อว่ายังต้องการอยู่รับใช้แฟรนไชส์ต่อไป “สำหรับการต่อสัญญา ผมไม่มีแผนจะย้ายไปทีมอื่น ดังนั้นอย่างที่ผมบอกแล้ว นี่จะสร้างแรงจูงใจแก่เราก้าวไปสู่ทีมหัวแถวของลีก ตลอด 2-3 ปีข้างหน้า และผมเฝ้ารอช่วงซัมเมอร์ และสานงานต่อจากผู้เล่นที่มีอยู่”
ส่วนกรณีของ ซิมมอนส์ ผมเชื่อว่า เขาจะกลับมาฤดูกาลหน้า แต่จะเป็นช่วงไหนยังมิอาจคาดเดาได้ รู้แค่เพียงว่า ขอตั้งสมมติฐานไว้ว่า ซิมมอนส์ สมัยเล่น พอยน์ต การ์ด น่าจะเป็นการใช้งานผิดตำแหน่ง เนื่องจากเขาไม่มีจุดเด่นด้านเลี้ยงบอลหาช่องยิงระยะกลาง หรือ ระยะไกล ที่หวังผลได้เหมือน คริส พอล การ์ดจอมเก๋า ฟีนิกซ์ ซันส์ ด้วยการเล่นแบบไม่มั่นใจ พอถึงจังหวะชู้ตเองได้ เขาจึงเลือกส่งบอลแทน เพราะไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองถนัด
หาก สตีฟ แนช เฮดโค้ช ขยับ ซิมมอนส์ มายืนตำแหน่ง เพาเวอร์ ฟอร์เวิร์ด ผมเชื่อว่าอาจรีดศักยภาพของเขาออกมาได้มากกว่า ลองนึกดูเล่นๆ ส่วนสูงของเขา 6 ฟุต 11 นิ้ว (211 เซนติเมตร) น่าจะมีผลต่อเกมป้องกันวงใน และการแย่งรีบาวน์ด อีกทั้งบทบาทของเขา ที่บรูกลิน ย่อมถูกมองว่าเป็นตัวรอง เออร์วิง กับ ดูแรนท์ ความกดดันน่าจะลดลง หน้าที่ของเขาอาจเป็น เล่นโพสต์ตัวต่อตัว ทำให้ระยะทำสกอร์เข้ามาใกล้กว่าตอนเล่น พอยน์ต การ์ด และยังขยับมาออกบอลเหนือเส้นโทษ เพื่อเปิดพื้นที่แก่เพื่อนร่วมทีม เจาะใต้แป้น ซึ่งดูว่าบทบาทนี้ เขาน่าจะเล่นง่ายขึ้นเยอะ
ส่วนลึกๆ ของความคิด ยังเชื่อว่า ซิมมอนส์ นัมเบอร์วันดราฟต์ 2016 ชาวออสเตรเลีย ยังมีประโยชน์ต่อทีม ซึ่งตามมุมมองของกูรูต่างประเทศ มองว่า ดีลการเทรด ซิมมอนส์-ฮาร์เดน เป็นแบบ วิน-วิน หรือสมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะ เน็ตส์ มีแต่ตัววงในที่โรยราอย่าง ลามาร์คัส อัลดริดจ์, ดรัมมอนด์ และ เบลก กริฟฟิน เว้นแต่ นิค แคล็กซ์ตัน เซ็นเตอร์วัย 23 ปี ที่ยังสดอยู่ แต่ถ้าทัศนคติของเขา ยังคงปอดแหกแบบเดิม อนาคตที่บรูกลิน และอาชีพของเขา คงจะจบเห่แน่นอน