ลิเวอร์พูล นับถอยหลัง 11 เกม สู่การสร้างปาฏิหาริย์ "ควอดรูเปิล แชมป์" หลังเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี หวุดหวิด 3-2 ที่สนาม เวมบลีย์ เข้ารอบชิงชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ เมื่อวันเสาร์ที่ 16 เมษายน
"เดอะ เรดส์" ยืนรอผู้ชนะระหว่าง เชลซี คู่ปรับ คาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ กับ คริสตัล พาเลซ วันที่ 14 พฤษภาคม
ทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ยังมีโปรแกรม พรีเมียร์ ลีก 7 เกม โดยตามหลังจ่าฝูง แมนฯ ซิตี 1 แต้ม และ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก สูงสุด 3 เกม
ทีมจากย่านเมอร์ซีย์ไซด์ เจอ 2 คู่ปรับตัวฉกาจ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วันที่ 19 เม.ย. และ เอฟเวอร์ตัน วันที่ 24 เม.ย. ที่แอนฟิลด์ รวมถึงเกมเยือน แอสตัน วิลลา ของ สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีม วันที่ 10 พ.ค.
"หงส์แดง" เจองานเบาสุดรอบรองชนะเลิศ พบ บียาร์รีล ซึ่งหากผ่านไปได้ ก็จะดวลกับ รีล มาดริด หรือ แมนฯ ซิตี ที่กรุงปารีส วันที่ 28 พ.ค.
ตามประวัติศาสตร์ ยังไม่เคยมีทีมใดเหมา 4 ถ้วย ภายใน 1 ฤดูกาล มีเพียง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่กวาด "ทริปเปิล แชมป์" (พรีเมียร์ ลีก, เอฟเอ คัพ, แชมเปียนส์ ลีก) เมื่อปี 1999 และ แมนฯ ซิตี คว้า 3 โทรฟีของอังกฤษ เมื่อปี 2019
คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ "บีบีซี" หลังชัยชนะ ที่เวมบลีย์ "ประเด็น 4 แชมป์ ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ชัยชนะเกมนี้หมายความว่า เรายังมีโปรแกรมอีก 1 เกม จากนั้นเราต้องเจอ แอสตัน วิลลา กลางสัปดาห์ ผู้จัดต้องเลื่อนแข่งอีก 1 เกม"
"ผมไม่คิดว่าเราจะมีเวลาพักเต็มๆ 1 สัปดาห์ ก่อนถึงแมตช์ต่อไป มันยากเหลือเกิน แต่ใครจะสน เรามาที่นี่ เพื่อเข้ารอบชิงชนะเลิศ"
"เรารู้ปัญหา แต่การเข้ารอบชิงชนะเลิศรายการนี้ ทำให้การคว้า 4 แชมป์ยากยิ่งขึ้น มันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ได้ แต่มันก็ยากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นมันเป็นสถานการณ์ที่น่าประหลาด"
"แต่เราดีใจกันสุดเหวี่ยง เราชนะทีมที่แข็งสุดของโลก และนี่เป็นช่วงเวลาแห่งความประทับใจ" อดีตเทรนเนอร์ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทิ้งท้าย