จากกรณีที่ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย ชุดใหญ่ และ U23 ออกแถลงข่าว ขอความช่วยเหลือหาทางออกเรื่องโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลซีเกมส์ ที่ประเทศเวียดนาม เดือนพฤษภาคมนี้ ทับซ้อนกับการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก นัดสุดท้าย และโปรแกรมฟุตบอลถ้วยลีกคัพ และเอฟเอ คัพ
กระทั่งมีการขยับโปรแกรมนัดสุดท้ายไทยลีก จาก 7 พฤษภาคม 2565 มาเป็น 4 พฤษภาคม 2565 โดยให้แข่งขันพร้อมกันทั้งหมด 8 คู่ เหมือนเดิม เพื่อไม่ให้เป็นการได้เปรียบเสียเปรียบของสโมสรใดสโมสรหนึ่ง รวมถึงการลุ้นพื้นที่ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023 รอบคัดเลือก
ในส่วนของการแข่งขันฟุตบอลถ้วย จะมีการขยับการแข่งขันฟุตบอลลีก คัพ จากเดิมจะเตะในรอบรองชนะเลิศ และ รอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 11 กับ 15 พฤษภาคม 2565 มา แข่งขันกันหลังการแข่งขันซีเกมส์ จบแล้ว โดยเริ่มเตะรอบรองชนะเลิศ ในวันที่ 25 และรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 29 พฤษภาคม 2565
ส่วนการแข่งขันฟุตบอล เอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ วันที่ 18 กับรอบชิงชนะเลิศ วันที่ 22 พฤษภาคม 2565 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตามมีผู้บริหารสโมสรสมาชิกไทยลีกบางทีม ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนไทยลีก และฟุตบอลถ้วย เพื่อเป้าหมายการคว้าเหรียญทองซีเกมส์
ขณะที่ กรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานบริหาร บริษัท ไทยลีก จำกัด ออกมาโพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยเนื้อหาโดยสรุปไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนโปรแกรมฟุตบอลในประเทศเช่นกันว่า
เมื่อไทย(ห)ลีก หลบให้ซีเกมส์ #จากใจคนทำงาน
เหตุผลความจำเป็นต่างๆ ในการขยับโปรแกรมไทยลีกนัดสุดท้ายเพื่อหลบทางให้กับการแข่งขันซีเกมส์ผมได้อธิบายไปครบถ้วนแล้ว
รวมถึงผลกระทบทั้งลีกและการเก็บตัวของทีมชาติไทยชุดใหญ่และชุดอายุ 23 ปี ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมก่อนจะไปแข่งรายการ “ชิงแชมป์ทวีปเอเชีย” จะกระทบอย่างไร ผมก็ได้อธิบายไปแล้ว
เมื่อตัดสินใจแบบนี้ ก็ต้องเดินหน้า…ถูก-ผิด-ชอบ-ไม่ชอบ คงต้องใช้เวลาในการตัดสิน
สิ่งที่ยังไม่ได้พูด(ฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่) และอยากจะชวนแลกเปลี่ยนคือการตั้งเป้าหมายและความสำคัญของ “ซีเกมส์”
ผมเข้าใจความคาดหวังของหลายฝ่ายที่มีต่อเหรียญทองของทีมฟุตบอลไทยในซีเกมส์
มันคือเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ
และความคาดหวังนั้นเองคือสิ่งที่ต้องแบกอยู่บนบ่าของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ
และนั่นคือแรงกดดันที่มีต่อผู้จัดการทีมชาติไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความคาดหวังต่อเหรียญทองเหรียญนี้(ของใครบางคน)ยิ่งใหญ่ราวกับได้ไปแข่งฟุตบอลโลก
…
ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 20 ปีก่อน ผมก็คงจะเห็นด้วย แต่มันไม่ควรจะเอามาเป็นความหวังของฟุตบอลทีมชาติไทยในโลกของฟุตบอลสมัยนี้…
สมัยที่มี FIFA DAY เป็นตัวกำหนดการแข่งขันในระดับสากลของทีมชาติแต่ละประเทศ
สมัยที่การจัดลำดับ FIFA RANKING จะถูกคิดคะแนนต่อเมื่อเข้าเกณท์ระดับ FIFA ‘A Match’ เท่านั้น
สมัยที่กีฬาฟุตบอลของประเทศกำลังยกระดับและก้าวไปสู่การเป็น ‘กีฬาอาชีพ’ อย่างเต็มตัว
แต่เรากลับก้าวข้ามไม่พ้น’กับดักความสำเร็จ’ของตัวเอง
เรายังคงมีความสุขกับความสำเร็จเล็กๆเฉพาะหน้า และตั้งให้มันเป็นเป้าหมายที่แสนยิ่งใหญ่
ถ้าเรายังก้าวไม่พ้นจากเวทีภูมิภาคเราจะไม่มีวันก้าวไปสู่เวทีระดับสากลได้
ซีเกมส์ควรจะเป็นเวทีที่เอาไว้สร้างดาวรุ่งดวงใหม่ สร้างระบบ สร้างประสบการณ์ เสริมกระดูกให้เยาวชนทีมชาติไทยก่อนจะก้าวไปสู่ทีมชาติชุดใหญ่ในอนาคต
เราจะภูมิใจกว่าไหม หากดาวรุ่งของเราไปสู้กับทีมชาติ ประเทศอื่นๆได้อย่างสมศักดิ์ศรี ??
เราจะได้ประโยชน์มากกว่าไหม หากมีนักเตะหน้าใหม่แจ้งเกิดได้อีก 3-4 คนจากเวทีนี้??
ความสำเร็จของเราอยู่ที่การชูถ้วย คว้าแชมป์ ได้เหรียญทองเท่านั้นนะหรือ?
ถึงเวลาหรือยังที่จะมาร่วมกันออกแบบว่า’ความสำเร็จ’ หน้าตามันควรจะเป็นอย่างไร?
มาจัดลำดับความสำคัญเสียใหม่เพื่อจะก้าวข้ามระดับภูมิภาค ไปสู่ระดับเอเชียและก้าวไปเวทีระดับโลกกันจริงๆเสียที
“ความสำเร็จของเราจะไม่มีวันยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ถ้าเรายังยึดติดกับความสำเร็จเล็กๆแบบเดิม”
ขอบคุณภาพและเนื้อหาจากเฟซบุ็ก Champion Korrawee