คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
สิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน ประมาณ 2 สัปดาห์ เจมส์ ฮาร์เดน การ์ดป้ายแดง ฟิลาเดลเฟีย เซเวนตีซิกเซอร์ส ลงเล่น 2 เกมแรก นับตั้งแต่ถูกเทรดมาจาก บรูกลิน เน็ตส์ เรียบร้อยแล้ว และสร้างผลงานน่าประทับใจ ซัดไป 27 แต้ม 8 รีบาวน์ด 12 แอสซิสต์ ชนะ มินเนโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส (26 ก.พ.) ตามด้วย ทริปเปิล-ดับเบิล 29 แต้ม 10 รีบาวน์ด 16 แอสซิสต์ ชนะ นิว ยอร์ก นิกส์ (28 ก.พ.)
ในฐานะผู้ชม บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) รวมถึงแฟนๆ ซิกเซอร์ส ย่อมคาดหวังหลายๆ สิ่งจาก ฮาร์เดน โดยเฉพาะความสามารถด้านทำสกอร์, บทบาทการขับเคลื่อนเกมบุก หรือการทำ ทริปเปิล-ดับเบิล ในแต่ละเกม แน่นอนว่า คุณสมบัติเหล่านี้ผลักดันให้ “เคราเฟิ้ม” กลายเป็นอาวุธใหม่ของทีมที่น่ากลัว นอกเหนือจาก โจเอล เอ็มบีด เซ็นเตอร์ตัวเต็งรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ฤดูกาลนี้
พิจารณาความสามารถด้านเพลย์เมกเกอร์ ปัจจุบัน ฮาร์เดน รั้งอันดับ 2 ค่าเฉลี่ยการแอสซิสต์ (10.3) รองจาก คริส พอล การ์ดจ่ายจอมเก๋า ฟีนิกซ์ ซันส์ (10.7) และเปอร์เซ็นต์การแอสซิสต์ของเขาอยู่ที่ 40.6 เทียบเท่าการยิงฟิลด์โกลของผู้เล่นคนหนึ่งบนสนาม อยู่อันดับ 6 ของลีก รองจาก เทร ยัง, ลูกา ดอนซิช, คริส พอล, นิโกลา โยคิช และ เดอจอนเต เมอร์เรย์ เทียบกับ เบน ซิมมอนส์ การ์ดจ่ายคนเดิม เปอร์เซ็นต์การแอสซิสต์ แค่ 34.5 ตลอดอาชีพ
จุดสำคัญ ฮาร์เดน ลงสนามให้ เน็ตส์ โดยขาดคู่หูอย่าง เควิน ดูแรนท์ กับ คายรี เออร์วิง แทบตลอดซีซัน ลองนึกดูว่า เขาจะสร้างพื้นที่ว่างแก่เพื่อนร่วมทีม ซิกเซอร์ส ได้บ่อยแค่ไหน ในแต่ละเพลย์ที่เขาถือบอลจังหวะเปลี่ยนจากรับเป็นรุก ยามเกิดช่องโหว่ ไทรีส แม็กซีย์ กับ มาทิสเซ ไธบูลล์ สามารถตะลุยเข้าหาห่วง บวกกับทางเลือกยิง 3 คะแนนในการเล่น ฟาสท์เบรก อย่าง แดนนี กรีน, เฟอร์กัน คอร์กมาซ และ ไอเซห์ โจ
สำหรับการเซ็ตเพลย์ครึ่งสนาม ฮาร์เดน สามารถยัดบอลเข้าใต้แป้นให้ เอ็มบีด โพสต์ตัวต่อตัว แบบไม่ต้องกลัวการ ดับเบิล ทีม (รุม 2) เพราะความแม่นยำในการยิงวงนอกของ ฮาร์เดน หรือจังหวะที่เขาเลี้ยงลุยเอง ย่อมสามารถดึงตัวประกบให้ ไธบูลล์ หรือ โทไบแอส แฮร์ริส โจมตีตรงพื้นที่ว่าง รวมถึงเปิดพื้นที่ส่องระยะไกลแก่เหล่ามิอปืนของทีมได้เช่นกัน
ก่อนการเทรด กองเชียร์ “ฟิลลี” ร้องหา พอยน์ท การ์ด ทดแทน ซิมมอนส์ ถึงตอนนี้พวกเขาสมปรารถนาแล้ว ฮาร์เดน ยกระดับฝีมือด้วยการเล่นที่ไม่หวงบอล และพร้อมสร้างโอกาสแก่เพื่อนๆ ทำสกอร์ สิ่งหนึ่งที่คาดหวังได้ คือ อดีตผู้เล่น โอกลาโฮมา ซิตี ธันเดอร์ และ ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์ ย่อมสามารถผลิตสถิติแอสซิสต์ได้เป็นกอบเป็นกำ พร้อมกับวิธีการเล่นแบบอื่นๆ ที่สามารถเห็นความแตกต่างจาก ซิกเซอร์ส ชุดเดิม
การทำสกอร์เป็นจุดเด่นของ ฮาร์เดน อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยดีกรีแชมป์คะแนนเฉลี่ย 3 สมัย, ติดทีมยอดเยี่ยม NBA 7 สมัย, MVP 1 สมัย โดยเฉพาะท่าไม้ตาย สเต็ปถอยหลังยิง 3 คะแนน นั่นคือการยกระดับทีมจากตอนใช้ ซิมมอนส์ ซึ่งแทบหวังผลไม่ได้จากการยิงระยะกลาง หรือ ระยะไกล เขามีค่าเฉลี่ยพยายามยิง 3 คะแนน 7.6 ครั้งตลอดอาชีพ สูงสุดของผู้เล่น ซิกเซอร์ส นับตั้งแต่ เจ.เจ. เรดิค เมื่อปี 2018 ทำไว้ 8 ครั้งต่อเกม ส่วนผู้เล่นยิง 3 คะแนนสูงสุดของทีม ฤดูกาลที่แล้ว กรีน เฉลี่ยประมาณ 6 ครั้งต่อเกม ซึ่งทั้ง 2 คน ไม่ใช่ พอยน์ท การ์ด
สกิลล์สุดท้าย เมื่อ ซิกเซอร์ส ได้ ฮาร์เดน ร่วมทีม พวกเขาน่าจะได้เปรียบด้านการกินฟาวล์คู่ต่อสู้ และจำนวนลูกโทษที่เพิ่มขึ้น พิจารณาค่าเฉลี่ยจำนวนการยิง ฟรีโธรว์ 10.4 ลูกต่อเกม ตลอดระยะเวลา 9 ปี ที่ฮุสตัน บวกความแม่นยำเกือบ 86 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสถิติตอนอยู่ เน็ตส์ 7.7 ครั้ง ความแม่นยำ 86 เปอร์เซ็นต์ แต่บางครั้งมันอาจเป็นจุดที่ใครๆ มองข้าม เพราะสาวๆ ไม่ค่อยกรี๊ดการทำแต้มจากลูกโทษ
ตามแง่ของประสิทธิภาพ เท่ากับว่า ซิกเซอร์ส มีตัวสกอร์หลัก 2 คน (ฮาร์เดน กับ เอ็มบีด) ซึ่งสามารถทำคะแนนแบบง่ายๆ และประคับประคองสถานการณ์ของบทีม ในเวลาคับขันถูกคู่ต่อสู้รันชุดใหญ่ ก็แค่ยัดบอลให้ ฮาร์เดน หรือ เอ็มบีด กินฟาวล์แล้วยิงลูกโทษ เพื่อดึงโมเมนตัมกลับสู่ทีม ด้วยเหตุนี้ย่อมสร้างความกดดันแก่ฝ่ายป้องกันที่จะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น เนื่องจากจำนวนฟาวล์บุคคล
ส่วนการเปลี่ยนแปลงของ เน็ตส์ หลังเทรด ซิมมอนส์ ร่วมทีม มุมมองของกูรูฝั่ง สหรัฐอเมริกา มองว่าจะเป็นการเสริมเกมป้องกันบริเวณ Perimeter (พื้นที่รอบนอก) และเชื่อกันว่าเป็นการเทรดที่สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะ บรูกลิน มี เควิน ดูแรนท์ กับ คายรี เออร์วิง ทำคะแนนอยู่แล้ว ทำให้ ซิมมอนส์ ไม่ใช่ทางเลือกในเกมรุก แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า จะได้ประเดิมสนามเมื่อใด