“บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคปประชาชาติ และประธานบริหารสโมสรนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ร่วมยินดีกับทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย ที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลอาเซียน สมัยที่ 6 มาครอง พร้อมคุยโว ตนทิ้งมรดกอันล้ำค่าไว้ให้วงการฟุตบอลไทย
ทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทัพของ มาโน โพลกิ้ง เอาชนะ อินโดนีเซีย ในรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ด้วยสกอร์รวมสองนัด 6-2 คว้าแชมป์อาเซียนสมัยที่ 6 ไปครองได้สำเร็จ
“ขอบคุณน้องๆนักฟุตบอลทีมชาติไทย ที่ได้นำความสุขและของขวัญล้ำค่าให้ชาวไทยในช่วงปีใหม่ ที่ผ่านมาได้เฝ้าเอาใจช่วยและเชียร์ทุกครั้งที่แข่งขัน ทั้งการแข่งขันในไทยและต่างประเทศ ขอบคุณที่นำความสุข ขอบคุณคณะผู้ฝึกสอน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือผู้ที่เข้ามาช่วยทีมชาติไทยในยุคที่กำลังตกต่ำ คือคุณนวลพรรณ ล่ำซำ หรือคุณแป้ง เป็นผู้ที่ทุ่มเทสุดกำลังจนทีมช้างศึกได้คว้าแชมป์มาอีกสมัย” บังยี เริ่มกล่าว
“คุณแป้งได้เข้ามาร่วมงานด้วยกันตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และผมได้เชิญมาเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิง และได้สร้างผลงานระดับนานาชาติคือ ทีมฟุตบอลหญิงชาติไทยได้เข้าไปเล่นฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลกของฟีฟ่า 2 สมัย ถือเป็นผู้มีความสำคัญในวงการฟุตบอลไทยอย่างมาก จนปัจจุบันได้เป็นผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทย และนำความสำเร็จ กลับมาเป็นเจ้าแห่งอาเซียนอีกครั้ง”
“น่าชื่นใจในการเล่นเป็นทีมเวิร์ค ฟุตบอลทีมชาติไทยจะเล่นอย่างมีประสิทธิภาพได้ นักฟุตบอลต้องมีคุณภาพ มีระเบียบวินัย พัฒนาฝีเท้า ขึ้นมาจากฟุตบอลลีก เมื่อสมัยที่ผมเป็นนายกสมาคมฯ ได้ปฏิรูปฟุตบอลในบ้านเราให้เป็นอาชีพที่มั่นคงถาวร สมาคมฯในยุคนั้นเราได้แยกการบริหารจัดการเป็นอีกองค์กรที่บริหารจัดการฟุตบอลลีกโดยเฉพาะ และอีกองค์กรหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือสโมสรสมาชิกที่เราได้ออกกฎระเบียบให้ปรับโครงสร้างให้เป็นสโมสรอาชีพอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่มีสนามแข่งขันที่ได้มาตรฐานตามระเบียบที่นานาชาติใช้ปฏิบัติกัน และมีการว่าจ้างผู้เล่น มีการทำสัญญาอย่างเป็นระบบเพื่อให้ผู้เล่นได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ อย่างเต็มรูปแบบเหมือในต่างประเทศ ซึ่งเราได้นำเอารูปแบบจากประเทศอังกฤษ เยอรมนี และญี่ปุ่น เป็นต้น มาใช้กับระบบการแข่งขันฟุตบอลอาชีพบ้านเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีลีกฟุตบอลอาชีพที่แข็งแกร่ง ก็จะทำให้ทีมชาติของเรามีความแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ ฟุตบอลลีกอาชีพของบ้านเราสามารถพูดได้เต็มปากว่าได้ว่าเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนในปัจจุบัน”
“ขอบคุณแต่ละสโมสร ที่สร้างนักเตะอาชีพ เมื่อฟุตบอลอาชีพแข็งแกร่งขึ้น ทีมชาติก็แกร่งขึ้นด้วย เพราะเลือกนักฟุตบอลที่มีคุณภาพมาจากสโมสรที่แข็งแกร่ง มาแข่งในนามทีมชาติ มีพละกำลัง มีระเบียบวินัย มีศักยภาพ สามารถแข่งขันในระดับชาติได้ ดังนั้นทีมชาติที่แข่งแกร่งขึ้นมาได้ ต้องมาจากลีกอาชีพที่แข็งแกร่งและมีระบบสากล”
“นักฟุตบอลอาชีพเดี๋ยวนี้มีรายได้ตั้งแต่ 6-8 แสน หรือบางคนได้เป็นล้านบาท สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้เป็นอย่างดี จะเห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองนิยมพาลูกหลานมาฝึกฝนให้เล่นกีฬาฟุตบอลตามโรงเรียนฟุตบอลหรือฟุตบอลอะคาเดมีที่มีการเปิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ในสมัยที่ผมบริหารสมาคมอยู่นั้นเราได้ลิขสิทธิ์จากการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพได้อย่างมหาศาล เท่าที่จำได้ปี 2557-2559 มีรายได้ปีละ 600 ล้านบาทจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอด และปี 2560-2563 มีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นสัญญาทั้งหมด 4 ปี มีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,200 ล้านบาท”
“รายละเอียดคือในปี 2560 มีรายได้ 900 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้ 1,000 ล้านบาท ปี 2562 มีรายได้ 1,100 ล้านบาท และปี 2563 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของสัญญา มีรายได้ 1,200 ล้านบาท ซึ่งรายได้มหาศาลนี้เกิดจากการแข่งขันลีกอาชีพในบ้านเรา ซึ่งสามารถที่จะนำไปใช้พัฒนากีฬาฟุตบอล สนับสนุนสโมสรสมาชิก และสร้างทีมฟุตบอลทีมชาติไทยให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้ นี่คือมรดกที่สมัยที่ผมเป็นผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอล ทิ้งไว้ให้วงการฟุตบอลไทยในปัจจุบัน” อดีตนายกฯ บอลไทย กล่าวทิ้งท้าย