ตามที่องค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World Anti-Doping Agency: WADA) ประกาศไม่ให้การรับรองประเทศไทย เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฏของวาดา ที่ต้องการให้แยกหน่วยงานตรวจสารกระตุ้นเป็นอิสระ ซึ่งจะส่งผลต่อการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ และการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ ทั้งระดับภูมิภาค ทวีป หรือระดับโลก
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. ได้แถลงข่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า "กรณีของไทยแตกต่างจากกรณีที่รัสเซีย, เกาหลีเหนือ และอินโดนีเซีย ที่โดนแบนจากการที่ไม่ได้ตรวจสอบ และควบคุมการใช้สารกระตุ้นในนักกีฬา แต่ไทยเรามีประเด็นสำคัญเรื่องการแก้ไขตัวบทกฏหมายพระราชบัญญัติควบคุมสารต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ.2555 บางประการที่ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ของวาดา ในเรื่องบทลงโทษที่ประกาศเมื่อเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา และการแยกเป็นองค์กรอิสระในการบริหารจัดการ โดยเราพยายามแก้ไขกฏหมายลูกตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่กระบวนการมีหลายขั้นตอน และละเอียดอ่อน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกรอบเวลาของวาดา
ซึ่ง กกท.ได้หารือกับรัฐบาล โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเป็นปัญหาฉุกเฉิน รวมทั้งประสานงานกับคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ติดข้อจำกัดในการแก้กฏหมายที่มีกระบวนการต่างๆ ซึ่งส่วนตัวก็เสียใจที่ไม่สามารถผลักดันกฏหมายนี้ได้ทันตามกำหนดของวาดา
โดยผลกระทบในตอนนี้ ข้อแรกคือประเทศไทยจะไม่สามารถขอทุนจากวาดาได้ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยปฏิบัติข้อนี้อยู่แล้ว, ข้อสอง คนไทยที่เป็นกรรมการ หรือนั่งอยู่ในสหพันธ์ต่าง ๆ จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที โดยไม่สามารถร่วมโหวต และถูกห้ามทำหน้าที่ จนกว่าจะมีการแก้ไข
ข้อสาม การจัดการแข่งขันนานาชาติ ในช่วงที่ยังแก้ไขไม่ทัน ไทยจะไม่สามารถจัดการแข่งระดับภูมิภาค ระดับทวีป หรือระดับชิงแชมป์โลกได้ แต่การแข่งขันที่มีการเสนอจัดไปแล้ว อาทิ เอเชีย โรด เรซซิ่ง ซึ่งถือเป็นกีฬาอาชีพ จะไม่มีผลกระทบ และสามารถเปลี่ยนไปดำเนินการภายใต้สหพันธ์กีฬานานาชาติ และจัดการแข่งขันได้
ข้อสี่ ประเทศไทยจะไม่สามารถใช้ธงชาติ แต่สามารถเข้าร่วมแข่งขันได้ ต่างจากรัสเซีย เพราะในการแข่งขันโอลิมปิก พาราลิมปิก ไทยจะได้ยกเว้น แต่กีฬาระดับทวีป ภูมิภาค และรายการชิงแชมป์โลกต่าง ๆ จะไม่สามารถใช้ธงชาติไทยได้ 1 ปี"
ดร.ก้องศักด กล่าวอีกว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาคือจะมีการออกกฏหมายพิเศษเป็นพระราชกำหนด และเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปกฏหมาย โดยวางกรอบเวลาภายใน 3-4 เดือน ซึ่งได้มีการตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมาที่มีตนเองคอยดูแลในการรายงานความคืบหน้าให้กับวาดา คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี), และรัฐบาลได้รับทราบ รวมทั้งจะประชุมกับคณะกรรมการกฤษฎีกา สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ทั้งนี้ยืนยันว่าจะทำให้เร็วที่สุดเพื่อให้ไทยกลับมาเชิดหน้าชูตาในเวทีกีฬาโลก ส่วนการที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์แอนด์มาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ในปีหน้า จะไม่มีผลกระทบ เพราะจะแก้ไขปัญหาเสร็จก่อน
“ถ้ากฏหมายเสร็จสิ้นแล้ว จัดแข่งขันต่างๆได้ต่อเนื่องทันทียกเว้นในส่วนของการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินหรือบุคลากรในสหพันธ์กีฬาต่าง ๆ จะต้องดูข้อบังคับอีกที เพราะตามกำหนดเราต้องโดนลงโทษ 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ส่วนการแยกออกเป็นองกรค์อิสระนั้น ยอมรับว่าจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของ กกท. ซึ่งเราก็ขอเวลากับวาดาในการจัดการเรื่องนี้ที่จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาใหม่ และก็ดูในเรื่องบุคคลากร และเงินสนับสนุนต่อไป”
นอกจากนี้การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 23-31 ตุลาคมนี้ ดร.ก้องศักด ยืนยันว่าวาดายังไม่มีคำสั่งผ่านสหพันธ์กีฬานานาชาติ ว่ามีมชาติไทยจะสามารถใช้ธงชาติไทยได้หรือไม่ ซึ่งจะมีการประชุมกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ (12 ตุลาคม 2564) เพื่อหาข้อสรุปทั้งหมดอีกครั้ง