“บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. เร่งแก้ปัญหา “วาดา” องค์การต่อต้านสารต้องห้ามโลก แบนไทย โดยได้ประสาน ดร. วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แก้กฎหมายสารต้องห้ามฉบับใหม่ พระราชบัญญัติสารต้องห้าม ให้หน่วยงานที่ตรวจสารต้องห้าม ทำงานเป็นอิสระจากภาครัฐ ขณะที่ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์ พร้อมจะช่วยประสานงานให้ โดยที่ผ่านมา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานบอร์ด กกท. ได้ช่วยดำเนินการอย่างเต็มที่ แต่การแก้กฎหมายต้องใช้เวลา ซึ่งเรามีประเด็นปัญหาแค่เรื่องนี้เท่านั้น ส่วนกระบวนการตรวจสารต้องห้าม เราทำทุกอย่างถูกต้องดีแล้ว
คุณหญิงปัทมา ให้สัมภาษณ์ว่า องค์การต่อต้านสารต้องห้ามโลก หรือ “วาดา” ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 ว่า ประเทศไทย อินโดนีเซีย และเกาหลีเหนือ ทำผิดกฎเรื่องสารต้องห้ามเกี่ยวกับนักกีฬา และจะถูกลงโทษสูง โดยประเทศไทย ถูกวาดา ระบุความผิดไว้ว่า ไทยไม่ได้ปฏิบัติตาม ธรรมนูญของวาดา ในด้านของการบังคับใช้กฎหมาย ในขณะที่ อินโดนีเซีย และเกาหลีเหนือ ผิดกฎในด้านของการไม่ส่งนักกีฬาเข้ารับการตรวจหาสารกระตุ้น
ทั้ง 3 ชาติ จะต้องพบกับบทลงโทษจากวาดา อย่างร้ายแรง ประกอบด้วย การห้ามเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ ระดับทวีป และระดับโลก ทุกรายการ และคณะกรรมการของทั้ง 3 ประเทศจะถูกสั่งให้ออกจากตำแหน่งคณะกรรมการของ วาดา เป็นการชั่วคราวอย่างน้อยเป็นเวลา 1 ปี หรือจนกว่าจะมีคำสั่งคืนตำแหน่ง
นอกจากนี้ ผู้บริหารสหพันธ์กีฬาโลกทุกคนที่เป็นชาวไทย รวมถึงตัวปัทมาเอง จะถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่เป็นระยะเวลา 1 ปีเป็นอย่างน้อย หรือจนกว่าการแก้ปัญหาจะเเล้วเสร็จ ถึงแม้การแก้ปัญหาแล้วเสร็จโดยเร็ว ก็จะโดนระงับเป็นระยะเวลา 1 ปี
อย่างไรก็ตาม นักกีฬาของทั้ง 3 ชาติจะยังสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ แต่หากรายการไหนเป็นการแข่งขันที่มี วาดา และ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซี เป็นผู้ดูแลการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นโอลิมปิกเกมส์ และพาราลิมปิกเกมส์ ทั้ง 3 ชาติจะไม่สามารถใช้ธงชาติในนามประเทศลงแข่งขันได้
ในเรื่องนี้ “บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา กกท. ได้ให้ความร่วมมือทำงานควบคู่กับทางวาดา มาเป็นอย่างดี ทั้งการแก้ไขกฎหมายลูก การอัพเดทสารต้องห้ามใหม่ที่ถูกห้าม หรือแม้กระทั่งกระบวนการตรวจสารต้องห้าม ก็ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังติดในประเด็น ที่หน่วยงานตรวจสารต้องห้าม จะต้องแยกออกจาก กกท. ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ อย่างเป็นอิสระ
วาดา ต้องการให้หน่วยงานตรวจสารต้องห้ามของไทย แยกการทำงานออกมาเป็นเอกเทศ ทำงานด้วยความอิสระ ซึ่งในเรื่องนี้ ติดขัดตรงที่ต้องไปแก้ในกฎหมายใหญ่ คือ พระราชบัญญัติ สารต้องห้าม ซึ่งเมื่อทราบเรื่อง ก็ไม่ได้รอช้า ได้เสนอให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลทราบ ซึ่งทาง ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมตรี ได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น และได้เสนอใหัคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อดำเนินการแก้ไขต่อไป ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ที่กฤษฎีกา โดย กกท.ได้ชี้แจงไปแล้ว ขั้นตอนจากนี้ จะพิจารณาดำเนินการออกเป็นพระราชกำหนดไปก่อน เพื่อนำมาบังคับใช้เป็นการเร่งด่วน
“ยอมรับว่า การแก้ไขกฎหมายต้องใช้เวลา โดยหากมองไปที่การเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬานานาชาติของไทย หรือแม้กระทั่งการส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันรายการระดับนานาชาติ ซึ่งรายการใหญ่ ๆ น่าจะเป็น เอเชียนเกมส์ 2022 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน เดือนกันยายน ก็น่าจะทันเวลา ยกเว้นแค่เพียง โอลิมปิก ฤดูหนาว 2022 เดือนกุมภาพันธ์ ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ที่อาจจะไม่ทันเวลา เรื่องนี้ กกท. ไม่ได้นิ่งเฉย จะเร่งแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด” ดร.ก้องศักด กล่าว
ขณะที่ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ไอโอซีเมมเบอร์หญิงไทย กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา วาดา ได้ฝากให้เร่งแก้ปัญหา การทำงานของหน่วยงานตรวจสารต้องห้าม ให้เป็นอิสระ จากภาครัฐ มาตลอด โดยได้มีการเตือนมาเป็นระยะ ๆ แล้ว มาครั้งล่าสุด เป็นช่วงโอลิมปิก โตเกียว 2020 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ต้องยอมรับว่า การแก้ไขกฎหมายต้องใช้เวลา ซึ่งที่ผ่านมา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานบอร์ด กกท.ได้ช่วยดำเนินการให้อย่างเต็มที่แล้ว
“อย่างไรก็ตาม ปัทมา พร้อมจะช่วยประสานงานให้ โดยปัญหาสำคัญอยู่ที่เรื่องการแก้กฎหมาย พระราชบัญญัติสารต้องห้าม ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร ส่วนการกระบวนการตรวจสารต้องห้าม เราทำทุกอย่างถูกต้องดีแล้ว” คุณหญิงปัทมา กล่าว
า
https://www.wada-ama.org/en/media/news/2021-10/wada-confirms-non-compliance-of-five-anti-doping-organizations