15 สิงหาคม 2021 วงการฟุตบอลระดับโลก ถึงคราวสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแด่การจากไปของ แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานกองหน้าทีมชาติเยอรมนี แน่นอนว่าแฟนบอลยุค โซเชียล มีเดีย อาจไม่คุ้นเคย แต่สำหรับคอบอลยุค 60 ที่เกิดทันและได้ดูลีลาฝีเท้าของเจ้าตัว นี่คือหนึ่งในสุดยอดกองหน้าที่ไม่เพียงแต่ยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลเยอรมัน แต่ยังเป็นราชันย์กองหน้าที่สังหารประตูจนบุคลากรฟุตบอลทั่วโลกต้องโค้งคำนับสดุดี
มุลเลอร์ วัย 75 ปี เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านเกิด โดยก่อนหน้านี้เจ้าตัวต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ที่ตรวจพบเมื่อปี 2015 แต่ก็มี อูซี ภรรยาคู่ชีวิต และนิโคล ลูกสาว คอยให้ความดูแลเป็นอย่างดี ขณะที่งานสุดท้ายของ มุลเลอร์ คือเป็นโค้ชทีมสำรองของ บาเยิร์น มิวนิค ต้นสังกัดที่ปลุกปั้นให้ตัวเองเป็นยอดกองหน้าระดับโลก ก่อนจะวางมือเมื่อตรวจพบอาการป่วย และเสียชีวิตหลังจากนั้น
หากจะเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของ มุลเลอร์ คงต้องย้อนไปช่วงปลายยุค 50 เด็กชายจากนอร์ดลิงเกน เมืองทางตอนเหนือของ มิวนิค มุลเลอร์ เริ่มเล่นฟุตบอลในวัย 10 ขวบ ก่อนค้นพบพรสวรรค์ว่ามีดีทางเกมลูกหนัง ตำนานเล่ากันว่า มุลเลอร์ สามารถบังคับบอลให้ไปในทิศทางที่ต้องการได้ดี จากการหัดโยนก้อนหินบนถนนแล้วศึกษาการกระทบกันว่าถ้าโยนแบบนี้ หินจะกระเด้งตกไปทางไหน เมื่อรู้แล้วก็นำมาปรับใช้ในการเล่นบอลทำให้เขาเด่นกว่าเด็กคนใด
ทีเอสวี 1861 นอร์ดลิงเกน ทีมระดับดิวิชั่น 7 ของเยอรมนี คือสโมสรแรกที่ มุลเลอร์ เริ่มต้นเส้นทางลูกหนัง ไต่เต้าจากกองหน้าดาวรุ่งในปี 1962 ขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ในปีต่อมา และนั่นคือช่วงเวลาที่ไอ้หนูมุลเลอร์ ระเบิดพลังกระหน่ำไป 47 ประตู จาก 28 นัดที่ลงสนาม ส่งเสริมให้ นอร์ดลิงเกน ได้แชมป์และเลื่อนชั้นเป็นสู่ลีกระดับ 6 ด้วยลำขาที่ใหญ่โตกว่าเด็กทั่วไป ใครมาสกัดก็ไม่ล้ม แถมยิงบอลแรงแบบทำลายล้าง ชื่อของ มุลเลอร์ เริ่มขจรขจายไปทั่วแผ่นดินเยอรมนี
ปี 1964 ชีวิตของ มุลเลอร์ เลี้ยวหา บาเยิร์น มิวนิค ทีมลูกหนังประจำเมือง หลังย้ายมาร่วมทีมซึ่งตอนนั้น บาเยิร์น ยังเล่นอยู่ลีก 2 มุลเลอร์ มีเพื่อนร่วมทีมอย่างนักเตะวัยละอ่อนอย่าง ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ กองหลังดาวรุ่งเจ้าถิ่น กับ เซปป์ มายเออร์ นายทวารวัย 21 ปี ภายใต้การดูแลของ ซลัตโก้ คาคอฟสกี กุนซือในยามนั้น ด้วยรูปร่างที่ตัวเล็กและอวบตัน ทำให้ คาคอฟสกี ดูแคลน มุลเลอร์ ถึงกับเรียกเขาว่า “ไอ้อ้วนเตี้ย มุลเลอร์”
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มจากนอร์ดลิงเกน ใช้ผลงานบนฟลอร์หญ้าเป็นตัวพิสูจน์ แค่ปีแรกที่ย้ายมาก็ยิงไม่เกรงใจนรก 33 ประตูจาก 26 นัดที่ลงสนาม เพียงพอทำให้ บาเยิร์น มิวนิค ได้แชมป์ลีก 2 ก่อนเลื่อนชั้นมาเล่นลีกสูงสุดได้สำเร็จ จากนั้นมา มุลเลอร์ ในสีเสื้อของ “เสือใต้” กลายเป็นเครื่องจักรสังหารตาข่ายที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ โทรฟีใบแล้วใบเล่า ถูกนำเข้าตู้โชว์ทั้ง บุนเดสลีกา 4 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 4 สมัย, ยูโรเปียน คัพ (ชื่อเก่าของ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก) 3 สมัย ฯลฯ
ปี 1970 มุลเลอร์ วัย 25 ปี สุกสกาวในฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก มุลเลอร์ ลงเตะ เวิลด์ คัพ รอบสุดท้ายครั้งแรกในชีวิตกับทีมชาติเยอรมนีตะวันตก ฝากผลงานสังหาร 10 ลูก เขาเป็นฮีโร่ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อยิงทดเจ็บให้ “อินทรีเหล็ก” ต่อเวลาเฉือน อังกฤษ คู่แค้น 3-2 แม้ที่สุด เยอรมนีตะวันตก จบเพียงอันดับ 3 แต่ มุลเลอร์ กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ คว้ารางวัลดาวซัลโว ตบด้วยรางวัลนักเตะที่ดีที่สุดในโลก บัลลง ดอร์ ยกสถานะตนเองเป็นดาวยิงที่น่ากลัวที่สุดในโลก
บุนเดสลีกา ซีซั่น 1971-72 คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ “ไอ้ลูกระเบิด” ลงสนามให้ บาเยิร์น มิวนิค 34 นัด ตวัดตีนยิง 40 ประตู สูงสุดในการเล่นอาชีพ ได้แชมป์ลีกสมัยที่ 2 มาประทับ ต่อด้วยรับใช้เยอรมนีตะวันตก ลงเตะศึกชิงแชมป์ยุโรป ยูโร 1972 ที่เบลเยียม ตลอด 5 วันของทัวร์นาเมนต์ มุลเลอร์ ทำลายตาข่ายของเจ้าภาพในรอบตัดเชือก และสหภาพโซเวียต นัดชิงชนะเลิศ รวมกัน 4 ประตู ได้แชมป์ยุโรปครั้งแรกในชีวิตและดาวซัลโวอีกครั้ง
คุณภาพการลั่นไกที่ไม่มีตก มุลเลอร์ ผู้ยิง 30 ประตูพา บาเยิร์น มิวนิค ซิวแชมป์บุนเดสลีกา สมัย 5 หวนสู่ เวิลด์ คัพ 1974 รอบสุดท้ายที่ เยอรมนีตะวันตก เป็นเจ้าภาพ ท่ามกลางเสียงเชียร์สนั่นของแฟนเจ้าถิ่น มุลเลอร์ วัย 29 ปี ไขว่คว้าเกียรติยศที่นักบอลทั่วโลกใฝ่ฝันคือ “แชมป์โลก” ได้สำเร็จ จากผลงานยิง 4 ประตู แม้ชวดตำแหน่งดาวซัลโว แต่ลูกตวัดยิงในเขตโทษ นาที 43 ของหัวหอกเบอร์ 13 ใส่เนเธอร์แลนด์ส จนชนะ 2-1 ต่อหน้าแฟนๆที่ โอลิมปิก สเตเดียม ก็ทำให้ มุลเลอร์ ไปถึงฝันที่รอคอย
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา มุลเลอร์ โบกมืออำลาแฟน “เสือใต้” หลังซีซั่น 1972-79 รูดม่าน แม้ปีนั้นจะไม่มีโทรฟีใดๆ ติดมือ แต่ 566 ประตูจาก 607 นัด ก็มากพอแล้วที่จะทำให้สาวก “เดอะ บาวาเรียนส์” เทิดทูนในฐานะราชาซัลโวตลอดกาล คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ตำนานศูนย์หน้าอีกรายของ บาเยิร์น มิวนิค ที่มีโอกาสได้ลงเล่นร่วมกับ มุลเลอร์ ในช่วงท้ายปลายทาง ถึงกับซูฮกและยกให้ดาวยิงรุ่นพี่คือ “มูฮัมหมัด อาลี แห่งกรอบเขตโทษ”
มุลเลอร์ แขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1982 ด้วยวัย 37 ปี สโมสรสุดท้ายที่เขารับใช้คือ ฟอร์ต เลาเดอร์เดล สไตรเกอร์ส ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆ กลับกัน ชีวิตหลังรีไทร์ของ มุลเลอร์ น่าเห็นใจ เขามีอาการติดสุราเรื้อรัง และมีปัญหาการเงิน ทว่า บาเยิร์น มิวนิค ต้นสังกัดเก่า ยื่นมือช่วยเหลือพาไปบำบัด ขณะที่ อาดิดาส ช่วยเสริมอีกแรง ออกสินค้าคอลเลคชั่นเช่นเสื้อผ้ายันรองเท้าสตั๊ดมาขายให้แฟนๆ ช่วยพยุงชีวิต มุลเลอร์ ให้ดีขึ้นตามลำดับ
บาเยิร์น มิวนิค ยังมอบหน้าที่การงานให้ด้วยการตำแหน่งโค้ชของทีมเสือใต้ชุดสำรอง คอยประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้กับนักเตะรุ่นใหม่ นักเตะที่เขาปลุกปั้น ปัจจุบันเป็นตำนานระดับชาติทั้งสิ้นอย่าง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, โธมัส มุลเลอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม ฯลฯ กระทั่งปี 2015 ป่วยเป็นอัลไซเมอร์จนต้องวางมือกลับไปอยู่ในความดูแลของครอบครัวที่บ้าน และเสียชีวิตในกาลต่อมา
เป็นเรื่องเศร้าที่ต้องยอมรับว่าเมื่อวันเวลาผันผ่าน ฮีโร่ของวงการฟุตบอลที่เคยฝากผลงานอมตะตลอดกาลในอดีต ค่อยๆ สูญสิ้นลมหายใจไปทีละคนทั้งตามสังขารหรือโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะปี 2020 ที่แฟนบอลต้องพรากจาก แจ๊ค ชาร์ลตัน กับ น็อบบี สไตลส์ ตำนานแชมป์โลกหนเดียวของอังกฤษ ปี 1966 ตามด้วย ดิเอโก้ มาราโดน่า หัตถ์พระเจ้าแห่งอาร์เจนติน่า กับ เปาโล รอสซี จอมสังหารประตูตลอดกาลของอิตาลี ซึ่งเป็นแชมป์โลกเช่นเดียวกัน
ทว่าต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยใหม่ยุคนี้ ที่ทำให้ภาพ เสียง และการเคลื่อนไหวของตำนานทั้งหลาย รวมถึงลูกยิงประตูทั้งหมดของ แกร์ด มุลเลอร์ ถูกบันทึกไว้ทุกหนแห่งบนโลกออนไลน์ให้ศึกษาและติดตามถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตของ “ไอ้ลูกระเบิด” ที่จะไม่มีวันลบหายไปจากพงศาวดารลูกหนังโลกตลอดกาล