เหรียญรางวัลโอลิมปิก เปรียบเสมือนรางวัลสูงสุดของชีวิตที่เหล่านักกีฬาทั่วโลกใฝ่ฝันอยากครอบครอง การคว้าเหรียญรางวัลไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จ หรือเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน แต่ยังมีมูลค่าขายต่อได้หากมันมีสตอรี่เย้ายวนมากพอที่ชวนให้คนภายนอกทุ่มเงินเป็นเจ้าของ
เหรียญรางวัลของศึก โอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ออกแบบโดย จุนอิจิ คาวานิชิ ศิลปินชื่อดังของประเทศ ผลิตจากขยะอิเล็กโทรนิกส์ที่ไม่ใช้แล้ว จำพวกซากโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ มาหลอมรวมเป็นเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง
เหรียญโอลิมปิกรอบนี้ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 85 มิลลิเมตร ความหนา 7.7 - 12.1 มิลลิเมตร เหรียญทองทำจากเงินบริสุทธิ์ที่เอาไปชุบทอง หนัก 6 กรัม ขณะที่เหรียญเงินหนัก 550 กรัม และเหรียญทองแดง 450 กรัม ผสมกันระหว่างทองแดง 95% กับสังกะสี 5%
มีการประเมินว่าเหรียญทอง "โตเกียว 2020" มีมูลค่า 800 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 26,660 บาท) ขณะที่เหรียญเงิน มูลค่า 450 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 14,960 บาท) ส่วนเหรียญทองแดง มูลค่าน้อยสุดแค่ 5 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 160 บาท)
อย่างไรก็ตาม เหรียญโอลิมปิก คือรางวัลที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ยิ่งหากคุณทุ่มเทชีวิต ฝึกซ้อมหนักเพื่อเข้าร่วมแข่งขันมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ แล้วได้เหรียญทองกลับมา มันก็ถูกเปรียบดังรางวัลตอบแทนสำหรับความเหนื่อยยากลำบากกายเพื่อความสำเร็จนี้
"ฉันไม่มีวันขายเหรียญโอลิมปิกของตัวเองเด็ดขาด มันมีความหมายกับฉันมาก และบางครั้งฉันก็หยิบมันมาใส่คล้องคอบ้าง" เคลลี ซอเธอร์ตัน นักกีฬาสัตตกรีฑาหญิงจากสหราชอาณาจักร เจ้าของเหรียญทองแดงสัตตกรีฑา และวิ่ง 4x400 เมตร ที่ปักกิ่ง ปี 2008 เปิดเผย
แต่ก็มีนักกีฬาหลายคนที่ยอมเอาเหรียญรางวัลของตัวเองไปขายหรือประมูลด้วยเหตผลส่วนตัว และทำเงินได้สูงลิ่ว เช่นเหรียญรางวัลโอลิมปิก 1986 ที่เอเธนส์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันโอลิมปิกยุคโมเดิร์น มีมูลค่าสูงถึง 180,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5.9 ล้านบาท)
ทว่าเหรียญที่มีราคาสูงสุดคือเหรียญทองประวัติศาสตร์ของ เจสซี โอเวนส์ นักกรีฑาผิวสีระดับตำนานชาวอเมริกัน ที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิก 1936 ที่เบอร์ลิน แบบหักหน้า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการแห่งเยอรมัน เหรียญนี้ถูกประมูลไปที่ราคา 1.46 ล้านหรียญสหรัฐ (ประมาณ 48 ล้านบาท)
ทั้งนี้ ริชาร์ด แกลดเดิล เจ้าของ "ศูนย์การประมูลบัลวิน" ที่ลอนดอน เผยว่านักกีฬาโอลิมปิกส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเอาเหรียญรางวัลมาประมูลหากไม่จำเป็น เพราะมันคือสิ่งที่เตือนใจถึงความเหนื่อยยากในอดีต แต่ถึงมีการนำประมูลจริง นักกีฬาเหล่านั้นจะเอาเงินเข้ามูลนิธิการกุศล ช่วยเหลือผู้ยากไร้ มาากกว่าเอาเข้ากระเป๋าตัวเอง