คอลัมน์ สกอร์บอร์ด โดย แมวดำ
นับตั้งแต่ประเทศไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก ครั้งแรกที่ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เมื่อปี 1952 (หรือ พ.ศ.2495) โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทัพนักกีฬาผู้มีธงไตรรงค์อยู่บนหน้าอกประสบความสำเร็จด้วยการคว้าเหรียญรางวัลมาครอง ประกอบด้วย 9 เหรียญทอง 8 เหรียญเงิน 16 เหรียญทองแดง แบ่งเป็น ยกน้ำหนัก 5 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน 7 เหรียญทองแดง, มวยสากล 4 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน 6 เหรียญทองแดง และเทควันโด 2 เหรียญเงิน 3 เหรียญทองแดง
ซึ่งมหกรรมโอลิมปิก 2020 หรือ "โตเกียวเกมส์" ครั้งนี้ มีการตั้งเป้าหมายคว้าเหรียญทอง 1-3 เหรียญ จาก 5 ชนิดกีฬา อาทิ เทควันโด, มวยสากลสมัครเล่น, ยิงเป้าบิน, แบดมินตัน และกอล์ฟ
โดยตัวเต็งที่สุดหนีไม่พ้น "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโด เบอร์ 1 ของโลก รุ่น 49 กิโลกรัม ซึ่งแข่งกันวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ หลังจากพิธีเปิดการแข่งขันเพียง 1 วัน พูดง่ายๆ เธอจะได้ลุ้นเหรียญทองเป็นคนแรกของทัพนักกีฬาไทยเลย แน่นอนว่ามันเป็นความกดดันสูงมาก แต่ดูเหมือน "โค้ชเช" เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโด ทีมชาติไทย แกจะเฉยๆ บอกนักกีฬาของเราแข่งขันรายการใหญ่มาแล้วทั่วโลก เจอมาแล้วทุกรูปแบบ
นอกจากนี้ยังมีสื่อนอกอย่าง "เอพี" ระบุด้วยว่า ทีมชาติไทย ครั้งนี้จะไม่ได้เหรียญทองโอลิมปิก และเป้าหมายสูงสุดที่ทำได้จะเป็นเหรียญเงินจาก "น้องเทนนิส" นี่แหละ โดยจะแพ้นัดชิงชนะเลิศให้กับ ซิม แจ-ยอง นักกีฬาเกาหลีใต้ ชาติต้นตำหรับกีฬาชนิดนี้ แต่งานนี้ดูเหมือนข้อมูลสื่อคงไม่ลึกเท่า "โค้ชแม็ก" ชัชวาล ขาวละออ หนึ่งในทีมผู้ฝึกสอนเทควันโดทีมชาติไทย เผยว่านักกีฬาเกาหลีใต้เป็นแชมป์โลก 2 สมัยรุ่น 46 กิโลกรัมก็จริง แต่การมาเจอกับแชมป์โลกรุ่น 49 กิโลกรัม ในพิกัด 49 กิโลกรัม และยังเคยแพ้ตัวเต็งจากประเทศไทยมาแล้วถึง 2 ครั้ง ก็ไม่ได้น่ากังวล ขอเพียงแค่ไม่ประมาทก็พอ
เอาเป็นว่าพี่น้องคนไทยทั้งประเทศวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ เรามาลุ้นเหรียญทองโอลิมปิกของทีมชาติไทยด้วยกันที่หน้าจอครับ ส่วนพี่น้องชาวสุราษฎร์ธานี บ้านเกิด "น้องเทนนิส" ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจะมีการตั้งจอมอนิเตอร์ยักษ์บริเวณสะพานนริศ กลางเมืองให้ได้ลุ้นกันแบบเว้นระยะห่างตามวิถีนิวนอร์มอล...