คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เพิ่งจะปิดฉากอย่างสมบูรณ์ แฟนๆ ของบางทีมจบด้วยอันดับ 3 ก็จริง แต่ออกอาการเริงร่ายิ่งกว่าทีมแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี เสียอีก เอาเถอะซีซันนี้พวกพี่ๆ เขาเจอแต่เรื่องแย่ๆ เปลี่ยนคู่เซ็นเตอร์แบ็ก 20-30 คู่, ตัวผู้เล่นบาดเจ็บ และแพ้คาบ้าน 6 เกมรวดจนถูกแซวคืนด้วยประโยคฉลองแชมป์ยุโรป สมัยที่ 6 ว่า “Let's talk about six” ยอมๆ กันหน่อยก็แล้วกัน
จุดพีกของเกมปิดซีซันลูกหนังอังกฤษ นึกแล้วก็น่าเสียดาย เลสเตอร์ ซีตี สโมสรของคนไทย ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์อันน่าขมขื่น ชวดโควตา ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 2 ปีติดต่อกัน ด้วยความปราชัยคาบ้านแก่ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 2-4 ทั้งๆ ที่ขึ้นนำก่อน 2 ครั้ง พอจบเกม โพสต์ต่างๆ บนโซเชียล มีเดีย โพสต์ภาพ แฮร์รี เคน รับรางวัลดาวซัลโวสูงสุด ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า กัปตันทีมชาติอังกฤษ จะขอย้ายสังกัด เพื่อไขว่คว้าความสำเร็จ ดีกว่าทนอยู่แล้วไม่มีแชมป์ใดๆ ติดมือเลย
ประเด็นของ เคน ทำให้เกิดภาพสะท้อนของ สตีเฟน เคอร์รี การ์ดจ่ายแม่ทัพของ โกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส แว่บขึ้นมาในห้วงความคิด ฤดูกาลนี้ เขาติดโผ 3 คนสุดท้าย ชิงรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) กับ 2 เซ็นเตอร์ นิโกลา โยคิช และ โจเอล เอ็มบีด, ทำคะแนนค่าเฉลี่ย 32.0 แต้ม สูงสุดของลีก ฤดูกาลนี้ และเป็นผู้เล่นอายุมากสุดที่ได้รับตำแหน่ง Scoring champion นับตั้งแต่ ไมเคิล จอร์แดน ฤดูกาล 1997-98 และสร้างสถิติใหม่ของ NBA ยิง 3 คะแนนเฉลี่ยเข้าเป้าสูงสุด 5.3 ลูกต่อเกม
สิ่งที่น่าผิดหวัง คือ วอร์ริเออร์ส ติดพื้นที่เพลย์-อิน ทัวร์นาเมนต์ ในฐานะทีมอันดับ 8 ของสายตะวันตก ต้องการชัยชนะ 1 จาก 2 เกม เพื่อเข้าเพลย์ออฟ เกมแรกความพ่ายแพ้แก่ แอลเอ เลเกอร์ส ด้วยลูกยิง 3 แต้มแบบปาฏิหาริย์ของ เลอบรอน เจมส์ มันยากเหลือเกินที่จะตำหนิ แต่พอมาแพ้ เมมฟิส กริซซ์ลีส์ รอบแก้ตัว และจบซีซันแบบไม่ได้เข้าเพลย์ออฟ 2 ซีซันรวด นับตั้งแต่ปล่อย เควิน ดูแรนท์ ออกจากทีม ปี 2019 มันเป็นจุดจบที่ไม่คู่ควรกับฟอร์มของ เคอร์รี สักเท่าไร หากมองจากผลงานส่วนตัว
เช่นเดียวกับ เคน วัย 27 ปี ถึงเวลานี้ สเปอร์ส ยังไม่รู้จะแต่งตั้งใครมาคุมทีม บวกกับอนาคตของสโมสร ยังมิอาจการันตีได้ว่า จะประสบความสำเร็จภายในระยะเวลาแค่ 2-3 ปี เส้นทางของนักฟุตบอลอาชีพยุคปัจจุบัน โทรฟีมีความหมายยิ่งกว่า “โกลเดน บูต (รองเท้าทองคำ)” และต้องการพิสูจน์ตัวเองในการแข่งขันระดับสูง อาทิ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ดังนั้นจึงหานักเตะที่จงรักภักดีต่อสโมสรของตัวเองจนแขวนสตั๊ดได้ยาก
กลับมาที่ NBA กันต่อ โกลเดน สเตท ยุคปัจจุบัน ถูกจับตามองว่า คงมิอาจกลับมาทวงความยิ่งใหญ่เหมือน แอลเอ เลเกอร์ส ช่วงปลายยุค 2000 ณ เวลานั้น โคบี ไบรอันท์ ทำคะแนนเฉลี่ย 35.4 แต้ม แบกทีมจบฤดูกาลปกติ 2005-2006 ด้วยผลงานชนะ-แพ้ห่างกันแค่ 8 เกม วและตกรอบแรกเพลย์ออฟ จากนั้น 2 ปี เลเกอร์ส ส่งผู้เล่นดาวรุ่งมากมาย บวกสิทธิ์ดราฟต์รอบแรก ให้ เมมฟิส กริซซ์ลีส์ แลกกับ เพา กาซอล ฟอร์เวิร์ดชาวสเปน นำไปสู่แชมป์ปี 2009 และ 2010
อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่าง คือ โคบี ตอนนั้นอายุเพียง 27 ฤดูกาล 2005-06 ส่วน เคอร์รี อายุย่างเข้า 33 ปี ถึงแม้ความแม่นยำของ เคอร์รี จะยังอยู่ แต่โอกาสแบกทีมกลับมาลุ้นแชมป์เริ่มยากขึ้นทุกที หากมองแค่คู่แข่งสายตะวันตก คนหนุ่มๆ อย่าง นิโกลา โยคิช, ลูกา ดอนซิช และ โดโนแวน มิตเชลล์ กำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ แอนโธนี เดวิส, เลอบรอน เจมส์, เดเมียน ลิลลาร์ด และ คาไว เลียวนาร์ด ยังอยู่บนจุดสูงสุดได้สักระยะ
สำหรับ NBA ที่เพิ่งจบฤดูกาลปกติ เท่ากับว่า โกลเดน สเตท ฆ่าเวลาช่วงพีกของ เคอร์รี ด้วยการไม่ได้เล่นรอบเพลย์ออฟ เช่นเดียวกับ “ไก่เดือยทอง” ที่ปล่อยให้ เคน รีดฟอร์มถล่มประตูต่อเนื่อง แล้วแลกมาด้วยการไม่มีแชมป์ติดมือ แต่ก็ยังเห็นข้อแตกต่างว่า เคน ยังมีย้ายสู่ทีมที่มีองค์ประกอบลุ้นแชมป์ แต่ เคอร์รี อาจจะอยู่ต่อ เพื่อแบกทีมต่อไป และมองว่า อย่างน้อยก็มีแหวนแชมป์แล้ว