คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
เคยได้ยินใครๆ บอกไว้ว่า “เกมรุกมีไว้ขายตั๋ว แต่เกมรับทำให้คุณเป็นแชมป์” ทฤษฎีดังกล่าวผ่านการพิสูจน์มาเรียบร้อยแล้ว หลายต่อหลายครั้ง ไม่ต้องย้อนไปไหนไกล ดูอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี นับตั้งแต่พวกเขาแพ้ เลสเตอร์ ซิตี ยับเยินเหลือเชื่อ 2-5 เป็นเหตุให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือ ทุ่มเงินซื้อ รูเบน ดิอาส แล้วรักษา คลีน ชีต (ไม่เสียประตู) เป็นว่าเล่น กระทั่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก 2020-21 แบบไร้คู่แข่ง
ย้อนมาราว 2-3 ปีก่อน แฟนๆ ลิเวอร์พูล อาจเสียดาย ฟิลิปเป คูตินโญ ย้ายไป บาร์เซโลนา ด้วยค่าตัวมหาศาล ซึ่งเงินก้อนนั้น เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีม นำมาแปรเปลี่ยนเป็น เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก กับ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตู ก้าวไปสู่แชมป์ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ปี 2019 กับ แชมป์พรีเมียร์ ลีก 2019-20 เทียบกับก่อนหน้านั้น พวกเขามีเกมรุกดุดัน แต่เกมรับสามารถเสียประตูได้ทุกเมื่อ ขอทิ้งท้ายตามวิชาเรขาคณิตว่า “ซ.ต.พ.”
กลับมาที่บทสรุปฤดูกาลปกติ 2020-21 ของ บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) พบว่า แต่ละทีมสร้างสถิติการยิง 2 คะแนนดีสุด 53 เปอร์เซ็นต์, 3 คะแนนดีสุด 36.7 เปอร์เซ็นต์ หรือแม้กระทั่งลูกโทษ 77.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพอมองหาสาเหตุ อาจเกิดจากการขาดความได้เปรียบของทีมเหย้า, ระยะเวลาเก็บตัวพรีซีซันน้อยเกินไป หรือการปรับกลยุทธ์เกมรุก เพื่อขยายโซนรับ
ช่วง 5 ปีล่าสุด เทรนด์บาสเกตบอลเกมรุกเปรียบเสมือนกราฟขาขึ้น ดัลลัส มาเวอริกส์ ฤดูกาล 2019-20 มีสถิติเล่นเกมรุกดุดันสุด เฉลี่ย 116.7 แต้มต่อการครองบอล 100 ครั้ง แต่ปัจจุบันร่วงมาอยู่อันดับ 8 แน่นอนว่าอันดับ 1 คือ ทีมที่คุณก็รู้ว่าใครอย่าง บรูกลิน เน็ตส์ ซึ่งประกอบด้วย 3 ซูเปอร์สตาร์ เควิน ดูแรนท์, เจมส์ ฮาร์เดน และ คายรี เออร์วิง เฉลี่ย 118.3 แต้มต่อการครองบอล 100 ครั้ง
ช่วงเพลย์ออฟกำลังใกล้เข้ามา แต่ละทีมมีเวลาโฟกัสด้านแผนการเล่น เพื่อรับมือคู่แข่งแบบเจาะจง บวกกับระยะเวลาการซ้อม ย่อมเป็นเรื่องปกติที่การทำคะแนนลดลง, ความเร็วของการขับเคลื่อนเกมลดลง และให้ความสำคัญกับเกมรับเหนือสิ่งอื่นใด เพราะการแข่งขันมีเดิมพันสูงขึ้น แต่บางครั้งแนวคิดเดิมๆ ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป ทีมอย่าง เน็ตส์ ที่มีเกมรุกดีสุดตลอดกาล เฉพาะฤดูกาลปกติ จะเปลี่ยนมาเน้นความแน่นอน คงดูฝืนธรรมชาติ
ตามเทรนด์ NBA แฟนๆ บางกลุ่มเชื่อว่า พวกเขาได้ชมความเร็วของเกมรุก และแต่ละทีมไม่ได้โฟกัสการป้องกันสักเท่าไร แต่ความจริงความสามารถเฉพาะตัวของ “สมอลล์ ไลน์ อัพ (5 ตัวจริงไซส์เล็ก)” ทั้งความคล่องตัว และความเร็วของการปล่อยลูกออกจากมือของเหล่าชูตเตอร์ คือ กลยุทธ์แบบหนึ่งที่คู่แข่งป้องกันได้ยาก นั่นคือจุดหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เพลย์ออฟน่าจะเป็นเกมที่ทำสกอร์กันถล่มทลาย
เพลย์ออฟฤดูกาลที่แล้ว ไมอามี ฮีต ทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศแบบปาฏิหาริย์ นำโดย จิมมี บัตเลอร์ ที่เก่งด้านเกมป้องกัน แต่เกมรับกลับแย่กว่าในฤดูกาลปกติ และเป็น ไทเลอร์ เฮอร์โร กับ ดันแคน โรบินสัน 2 จอมส่องไกล ซึ่งโชว์ฟอร์มโดดเด่น หรือ มิลวอคกี บัคส์ สถิติดีสุดของลีก ชนะ 56 แพ้ 17 เข้าสู่เพลย์ออฟ มีเกมรับเหนือกว่า แอลเอ เลเกอร์ส แชมป์เก่า และ ไมอามี รองแชมป์เก่า แต่ บัคส์ จอดป้ายแค่รอบ 2 สายตะวันออก
ยุคอดีตการเตรียมทีมลุยเพลย์ออฟ มักโฟกัสเกมรับเป็นพิเศษ มุ่งประสิทธิภาพด้านแย่งเทิร์นโอเวอร์ และกลยุทธ์ที่ซับซ้อน หรือความคิดสร้างสรรค์เพื่อช่วยให้เกมรับแข็งแกร่งขึ้น และลูกไม้ต่างๆ ที่ยังไม่เคยใช้ในการเล่นช่วงฤดูกาลปกติ สิ่งเหล่านี้อาจจะยังอยู่ในแผนการเล่น แต่อาจไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่คาดหวัง เนื่องจากเกมบาสเกตบอล NBA ยุคนี้รวดเร็วกว่าเดิม ฝ่ายรุกจะมองหาช่อง แล้วโจมตีทันที
นอกจากนี้กรรมการยังเป็นปัจจัยหนึ่งของเกม ตามธรรมชาติการตัดสินจะปรับเปลี่ยนแบบเกมต่อเกม และคาดว่าจะมีการผ่อนปรนมากขึ้นช่วงเพลย์ออฟ โดยเฉพาะจังหวะปะทะซึ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายรับ ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ ยากเหลือเกินที่จะสรุปว่า เพลย์ออฟจะเป็นไปตามทิศทางเดียวกับฤดูกาลปกติหรือไม่ แต่สำหรับอนาคตระยะสั้นๆ แชมป์ NBA “เกมรุกต้องมาก่อน”