บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ประกาศศักดาคว้าแชมป์ฟุตบอลโตโยต้า ไทยลีก ฤดูกาล 2020/21 มาครองได้สำเร็จ สร้างสถิติเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของไทยได้รวดเร็วที่สุดจากการเหลือแมตช์ลงเล่นอีก 6 เกม ทำลายสถิติเดิมที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำเอาไว้ที่ 4 เกม ถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกของ "เดอะ แรบบิท" ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา 12 ปีเต็ม หลังเทคโอเวอร์สิทธิ์การทำทีมมาจากธนาคารกรุงไทย เมื่อปี 2009
นอกจากนี้พวกเขายังจารึกประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่ร่วงตกชั้นไปเล่นในไทยลีก 2, คว้าแชมป์ลีกพระรองในปีถัดมา, คัมแบ็คเลื่อนชั้นกลับมาอยู่บนลีกสูงสุด และคว้าแชมป์ได้ในทันที ซึ่งไม่เคยมีทีมไหนทำได้มาก่อน
หลายคนอาจมองว่าพวกเขาเป็นแชมป์ได้เพราะ "เงิน" จากกลุ่มทุนบุญรอดล้วนๆ แต่จริงๆ แล้วองค์ประกอบของพวกเขามีมากกว่านั้น ถึงแม้พวกเขาอาจจะเคยตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมาก่อนหน้านี้ บริหารผิดพลาดไปบ้าง แต่สุดท้ายก็จับทางของตัวเองได้อย่างถูกต้องจนทีมประสบความสำเร็จในที่สุด
ถ้าหากลองมองไปยังบางสโมสรเราเคยพวกเขาทุ่มเงินอย่างบ้าเลือดยิ่งกว่า "บีจี" ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายกลับ "แห้ว" ไม่เป็นท่า ไม่ประสบความสำเร็จแม้จะเทงบประมาณลงมาอย่างมากมายให้กับทีมฟุตบอล เพราะองค์ประกอบอย่างอื่นของพวกเขามันยังไม่ดีพอ และยังใช้เงินได้ "ไม่ฉลาดพอ"
หลายคนทราบดีว่า "เดอะ แรบบิท" อยู่ได้เพราะเงินทุนจากบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จํากัด หรือที่รู้จักกันในเจ้าของผลิตภัณฑ์ "สิงห์" บริหารงานสโมสรโดย ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรผู้บ้าฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ผู้ซึ่งปั้นทีมฟุตบอลจากทีมโรงงานบางกอกกล๊าส ให้กลายมาเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการลูกหนังของประเทศไทย
ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ "บีจี" ก็เคยใช้เงินที่ไม่ถูกที่ถูกทางเสียเท่าไหร่ พวกเขาใช้จ่ายไปค่อนข้างเยอะกับการลงทุนในสิ่งต่างๆ ซื้อนักเตะมาร่วมทีมผิดๆ ถูกๆ บางคนเข้ามาก็ช่วยยกระดับทีมได้นิดหน่อย หรือบางคนเข้ามาด้วยค่าตัวที่ค่อนข้างจะแพง แต่ก็ไม่ได้ช่วยทีมให้ดีขึ้นเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้พวกเขาทุลักทุเลจนถึงขั้นย่ำแย่ที่สุดคือการร่วงตกชั้นไปเล่นในลีกพระรอง อย่าง ไทยลีก 2 จากการเดินหมากที่ผิดพลาดตลอดฤดูกาล 2018 แต่ก็เหมือนเป็นการตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่ บอร์ดบริหารไม่ย่อท้อ เดินหน้าที่จะทำทีมกันต่อไป จนสุดท้ายได้แชมป์ลีกรอง พร้อมเลื่อนชั้นกลับมาภายในเวลา 1 ปีเท่านั้น
พอกลับมาสู่ลีกสูงสุดมันทำให้พวกเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกเขาใช้เงินได้ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือการคว้า 2 กองหลังจอมเก๋า อย่าง อันเดรส ตูเญซ และวิคเตอร์ คาร์โดโซ่ มาร่วมทัพ รวมไปถึงสุดยอดกองหน้า อย่าง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ด้วยค่าตัวรวมกัน 0 บาท แม้จะต้องจ่ายค่าเหนื่อยที่แพงเสียหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า ยังรวมไปถึงการดึงตัว สารัช อยู่เย็น มาจับคู่แดนกลางร่วมกับ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และสุมัญญา ปุริสาย ทำให้แผงกลางของทีมนั้นลงตัวแบบสุดๆ
"บีจี" ลงทุนกับทีมงานวิเคราะห์ข้อมูลของทีมคู่แข่งอย่างละเอียด มีทีมวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เป็นมืออาชีพ พวกเขาไม่ได้สักแต่จะหาผู้เล่นเก่งๆ ที่ค่าตัวแพงอย่างเดียว แต่พวกเขาหาผู้เล่นที่สามารถเล่นให้เข้ากับทีมได้ พร้อมวางแผนระยะยาวในการไปลุยฟุตบอลเอเชีย
นอกจากนี้ "บีจี" ลงทุนในทีม "มีเดีย" ของสโมสรอย่างจริงๆ จังๆ มีไอเดียเจ๋งๆที่จะผุดคลิปวิดีโอต่างๆ ให้แฟนๆได้ติดตาม ทำให้แบรนด์ของพวกเขาแข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้คนในโลกโซเชียลมากกว่าเดิม จากการออกแคมเปญต่างๆ ที่ "ครีเอทีฟ" ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
ที่สำคัญผู้บริหารโดยเฉพาะประธานสโมสร อย่าง ปวิณ ภิรมย์ภักดี ไม่เข้ามาก้าวก่ายหน้าที่การทำงานของสต๊าฟฟ์โค้ช ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ดุสิต เฉลิมแสน หัวหน้าผู้ฝึกสอน และสุรชัย จตุรภัรทรพงศ์ ผอ.สโมสร ได้ทำงานกันอย่างอิสระ และที่สำคัญคือเราไม่เคยเห็นตัวประธานสโมสรลงมานั่งที่ซุ้มม้านั่งสำรองเลยแม้แต่นัดเดียว
สุดท้ายบุคคลผู้ที่สมควรจะได้รับเครดิตมากที่สุดคนหนึ่งของทีมคงหนีไม่พ้นกุนซือใหญ่ อย่าง "โค้ชโอ่ง" ดุสิต เฉลิมแสน หัวหน้าผู้ฝึกสอน ที่ยกระดับตัวเองจากโค้ชที่เคยพาสโมสรอื่นๆ ร่วงตกชั้น กลายเป็นเฮดโค้ชที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของไทยได้สำเร็จ
"โค้ชโอ่ง" ทำให้พวกเราเห็นว่าถึงแม้จะใช้แท็คติกกองหลัง 3 คน ก็สามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้ "เกมรุก" อาจทำให้ทีมของคุณน่าติดตาม แต่ "เกมรับ" จะทำให้ทีมของคุณเป็นแชมป์ "เดอะ แรบบิท" เสียประตูไปแค่ 11 ลูก ก่อนที่พวกเขาจะการันตีการคว้าแชมป์ในปีนี้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่า "บีจี" รู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้พวกเขาประสบความสำเร็จในไทยลีก
เรียกได้ว่าการบริหารงานของสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด มาพร้อมกับความเป็นมืออาชีพในทุกภาคส่วน การใช้เงินที่ชาญฉลาด รู้ว่าตรงไหนควรจ่ายหรือไม่ควรจ่าย ทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง และประสบความสำเร็จได้ในวันนี้
หลังจากนี้ก็คงต้องตามลุ้นตามเชียร์กันต่อว่า "เดอะ แรบบิท" จะทำได้ดีเพียงใดในการไปโลดแล่นในถ้วยใหญ่ของเอเชีย อย่าง เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป