เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาวงการฟุตบอลเอเชียมีข่าวที่ฮือฮาและถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก คือการประกาศยุบสโมสรเจียงซู เอฟซี แม้เพิ่งจะเถลิงบัลลังก์แชมป์ “ไชนีส ซูเปอร์ลีก” หรือลีกสูงสุดของจีน มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อปีที่แล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2020 เจียงซู เอฟซี เถลิงแชมป์ลีกสูงสุดของจีนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร โดยที่ ไชนีส ซูเปอร์ ลีก มีการจัดการแข่งขันในรูปแบบพิเศษเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนที่พวกเขาจะฝ่าฟันทุกด่าน สุดท้ายเอาชนะ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ แชมป์เก่า 8 สมัย ได้โทรฟีแชมป์มาครอบครอง
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อหลายวงการโดยเฉพาะวงการกีฬาทั่วทุกมุมโลกได้รับผลกระทบไปแบบเต็มๆ ไม่เว้นแม้แต่มหาอำนาจแห่งเอเชียอย่างประเทศจีน ที่ถึงแม้พวกเขาจะร่ำรวยแค่ไหน การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวก็ทำให้มีปัญหาเช่นกัน
เจียงซู เอฟซี บริหารงานโดยซูหนิง โฮลดิ้งส์ กรุ๊ป ของท่านประธานจาง จินตง มีธุรกิจในมือหลายประเภท ที่เด่นชัดคือธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ซึ่งพวกเขาถือเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศจีน เคยถูกจัดอันดับให้เป็นองค์กรเอกชนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อปี 2018
อย่างไรก็ตาม วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบหลายอย่างให้แก่กลุ่มทุนซูหนิง พวกเขาขาดทุนในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในส่วนของ “ซูหนิง สปอร์ต” กิจการด้านกีฬาของพวกเขาติดลบเป็นหนี้อย่างหนัก ทำให้ จาง จินตง ต้องการที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทลง และทีมฟุตบอลคือหนึ่งในนั้น
จริงๆ ต้องบอกก่อนว่าสมาคมฟุตบอลจีนมีการตรวจสุขภาพทางการเงินของทีมในลีกสูงสุด หรือไชนีส ซูเปอร์ลีก อยู่ทุกปี ถึงแม้แฟนบอลจะเห็นหลายทีมในจีนทุ่มซื้อนักเตะดังๆ เข้ามาเสริมในหลายปีที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็ต้องผ่านเกณฑ์การเงินที่สมาคมฯ กำหนดเอาไว้ในแต่ละปี หากไม่ผ่านพวกเขาก็จะไม่ได้สิทธิ์ในการเล่นบนลีกสูงสุด
สุดท้าย เจียงซู เอฟซี มีปัญหาเรื่องการเคลียร์หนี้สินในปีที่ผ่านมา และสมาคมฟุตบอลจีนก็เล็งเห็นแล้วว่าสโมสรแห่งนี้ไม่สามารถเคลียร์เรื่องดังกล่าวได้ทันกำหนด และไม่สามารถหากลุ่มทุนรายใหม่ที่จะเข้ามาแบกภาระตรงนี้ได้ทัน จึงมีการตัดสิทธิ์เจียงซู เอฟซี ในการเล่นบนลีกสูงสุดของจีน และต้องไปเริ่มต้นในดิวิชั่น 2 จุดนี้เองท่านประธานจาง มองแล้วว่าคงไม่คุ้มที่จะลงทุนต่อ จึงออกมาประกาศยุบสโมสรไปในที่สุด
จากการยุบสโมสรของเจียงซู เอฟซี ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ในฟุตบอลลีกของจีนเท่านั้น แต่ส่งผลไปยังฟุตบอลถ้วยใหญ่ของเอเชีย เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ที่ต้องหาโควต้าจากจีนกันใหม่ ซึ่งดูจะวุ่นวายพอสมควร
จริงๆ แล้วในปีนี้ไม่ได้มีเพียง เจียงซู เอฟซี ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การเงินของสมาคมฟุตบอลจีน แต่รวมไปถึง เทียนจิน ไทเกอร์ส (เทด้า เดิม) สโมสรต้นสังกัดของ แฟรงค์ อาเชียมปง อดีตนักเตะบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ถูกตัดสิทธิ์เช่นเดียวกันจากเหตุผลในเรื่องดังกล่าว ทำให้ถูกปรับลงไปเล่นในดิวิชัน 2 แต่สโมสรแห่งนี้ยังไม่มีข่าวเรื่องการออกมาประกาศยุบทีมแต่อย่างใด
ตัดกลับไปที่กลุ่มทุนซูหนิง เมื่อประกาศยุบสโมสรเจียงซู เอฟซี เป็นที่เรียบร้อย อย่าลืมว่า ซูหนิง โฮลดิ้งส์ กรุ๊ป ยังมีกิจการทีมฟุตบอลอยู่อีกหนึ่งสโมสร นั่นก็คือ อินเตอร์ มิลาน ยอดทีมแห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี โดยพวกเขาถือครองหุ้นของทีม “งูใหญ่” อยู่ถึง 68.55 เปอร์เซ็นต์ บริหารงานโดยประธานหนุ่มไฟแรงวัย 29 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของ จาง จินตง ที่ชื่อ จาง คังยาง หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม “สตีเฟ่น จาง”
ก่อนหน้านี้ทีม “เนรัซซูรี่” ตกเป็นข่าวว่ากลุ่มทุนซูหนิง เป็นกังวลต่อสถานการณ์ของบริษัทเป็นอย่างมาก จนเริ่มเปิดโต๊ะเจรจากับกลุ่มทุนอื่นๆ เพื่อทำการขายสโมสรออกไป เนื่องจากแบกรับภาระตรงนี้ไม่ไหว โดยพวกเขามีข่าวกับกลุ่มทุนจากทั่วทุกมุมโลก ล่าสุดกลุ่มทุนจากประเทศกาตาร์ก็สนใจที่จะมาทำการซื้อขายหุ้นของสโมสรแห่งนี้ด้วย
เวลานี้ข่าวของทีมอินเตอร์ มิลาน กำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังการประกาศยุบสโมสรเจียงซู เอฟซี ตามการรายงานของสื่อในประเทศอิตาลีมีการระบุว่าเม็ดเงินในการซื้อขาย “งูใหญ่” ครั้งนี้ พุ่งสูงถึง 800 ล้านยูโร หรือเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากพวกเขารักษาฟอร์มการเล่นแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ จนคว้าสคูเด็ตโต้มาครองได้ มูลค่าของทีมอาจจะขึ้นไปเฉียด 1,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว แต่อีกกระแสข่าวหนึ่งก็ระบุว่ากลุ่มทุนซูหนิงของ 2 พ่อลูกตระกูลจาง ยังคิดจะสู้สุดใจเพื่อเก็บอินเตอร์ มิลาน เอาไว้บริหารต่อเช่นกัน
สำหรับแฟนๆ “เนรัซซูรี่” ก็ต้องลุ้นกันว่าถ้ากลุ่มทุนซูหนิง ตัดสินใจขายทีมจริงตามที่เป็นข่าว กลุ่มทุนที่เข้ามาใหม่นั้นจะรักสโมสรเหมือนกับพ่อลูกตระกูลจางหรือไม่ เพราะจากการบริหารงานของกลุ่มทุนซูหนิงในช่วงที่ผ่านมา เรียกได้ว่าพวกเขาทำให้ อินเตอร์ มิลาน กลับมามีชีวิตชีวิามีลุ้นแชมป์ได้อีกครั้งจากที่ซบเซาไปนาน
เรียกได้ว่าวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งกระทบต่อทุกวงการทั่วทุกมุมโลก แม้แต่บริษัทที่แสนจะร่ำรวย และเป็นมหาอำนาจในประเทศจีน มีอันต้องโดนหางเลขไปด้วยเหมือนกัน