"บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กาง 3 แผนในการหาเงินเข้ามาพยุงวงการฟุตบอลไทยหลังเผชิญปัญหาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา พร้อมโปรยวลีเด็ด "กู้เงิน" ไม่ใช่เรื่องเสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรี ต้องเป็นคนมีเครดิตเขาถึงยอมให้กู้
นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของสมาคมฯ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ การกีฬาแห่งประเทศไทย โดยในเรื่องของการหาเงินเข้ามาพยุงวงการฟุตบอลไทยนั้น "บิ๊กอ๊อด" เตรียมเอาไว้ด้วยกัน 3 แผน ดังนี้
1.ขอความช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ สั่งการในที่ประชุมให้ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย เข้ามาช่วยเหลือสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ตามช่องทางที่กกท.สามารถทำได้
2.ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ขอเบิกเงินล่วงหน้าในการสนับสนุนสมาคมฯของปีถัดไปมาใช้ในปีนี้ก่อน ซึ่งเรื่องนี้ทางฟีฟ่าได้รับทราบถึงเหตุผลไปแล้ว นอกจากนี้ยังเตรียมการ "กู้เงิน" จากบริษัทเอกชน เช่น คิง เพาเวอร์ ที่นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รับปากเอาไว้ว่าจะช่วย รวมไปถึงบริษัทอื่นๆ ที่อยากเห็นวงการฟุตบอลไทยเดินหน้าต่อไป
3.อาจใช้วิธีการหมุนเงินภายในครอบครัว หรือ "กู้เงิน" จากเพื่อนฝูงของตนมาใช้พยุงวงการฟุตบอลไทยไปก่อนในปีนี้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา "บิ๊กอ๊อด" ชี้แจงว่ามีการให้กู้ยืมกันแล้ว 8 ครั้ง ช่วงระหว่างปี 2559-2562 รวม 119 ล้านบาท ซึ่งทางสมาคมฯ มีการใช้คืนอยู่เรื่อย ซึ่งข้อนี้จะเป็นข้อสุดท้ายที่จะทำหาก 2 ข้อด้านบนทำไม่สำเร็จ
"การกู้เงิน ผมเห็นว่ามันไม่น่าจะเสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรี ตรงไหน คนคนหนึ่งสามารถเดินไปกู้เงินเพื่อนได้ เพื่อนให้ยืม คนคนหนึ่งสามารถไปกู้เงินองค์กรอื่น หรือธนาคารได้ มันหมายความว่าท่านมีเครดิตครับ แต่ส่วนคนที่กู้ไม่ได้ มันก็แปลว่าท่านไม่มีเครดิต ไม่มีศักดิ์ศรีมากกว่า นักลงทุนทุกคนก็กู้ธนาคารทั้งนั้น คนที่กู้คือคนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีเครดิต กู้ได้ คนที่เขาไม่ให้กู้น่ะ น่าอับอายที่สุด" พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวถึงเรื่องการกู้เงินของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ
นอกจากนี้ประมุขบอลไทยยังกล่าวต่ออีกว่า "สำหรับการเลื่อนโปรแกรมไทยลีกไปแข่งขันในช่วงเดือนกันยายนปีนี้ จนถึงพฤษภาคมปีหน้า เป็นมติของสโมสร ซึ่งสุดท้ายแล้วเงื่อนไขเวลาต่างๆ ถูกบังคับ และเหมาะสมกับโปรแกรมพอดี เช่น นักเตะต่างชาติแต่ละทีมก็ยังกลับเข้าไทยไม่ได้ แต่กว่าจะถึงช่วงที่บอลเตะ นักเตะต่างชาติก็จะทยอยเดินทางเข้าไทยได้ นอกจากนี้เราอาจจะโชคดีที่จะมีแฟนบอลเข้าไปชมเกมในสนามก็ได้ ต้องรอดูสถานการณ์กันอีกครั้ง"