เยอรมนีถือเป็นหนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังโลก โดยเคยคว้าแชมป์ “เวิลด์ คัพ” 3 สมัยเมื่อปี 1954, 1974 และ 1990 ซึ่งแน่นอนหลายคนเกิดไม่ทันในยุครุ่งเรืองนั้น ก่อนที่ปี 2014 จะสิ้นสุดการรอคอย 24 ปีก้าวสู่แชมป์โลกสมัยที่ 4 เมื่อปี 2014 ตอนนั้นเรียกได้ว่า “อินทรีเหล็ก” คือ ทีมที่แกร่งทั่วแผ่นยากที่ใครจะมาโค่นได้ จนกระทั่งเมื่อปี 2018 กลับช็อกวงการด้วยการตกรอบแรกที่รัสเซีย จนนำมาสู่ห้วงแห่งการเปลี่ยนถ่ายเลือดครั้งใหญ่
โดยหนึ่งในนักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าจะขึ้นมานำ เยอรมนี ก้าวสู่ยุคใหม่ ก็คือ ไค ฮาแวร์ทซ์ ตัวรุกวัยเพียง 20 ปี เด็กสร้างของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
หลายคนอาจจะปรามาสฝีเท้าเด็กวัยเพียง 20 ปี แต่ฤดูกาล 2019-2020 ถือเป็นปีที่ 4 ของ ฮาแวร์ทซ์ บนลีกสุดหินอย่าง บุนเดสลีกา เยอรมัน หลังจากถูกดันขึ้นชุดใหญ่เมื่อปี 2016 ซีซันที่พีกสุดขีดน่าจะเป็นปีที่แล้วที่กดไปถึง 17 ประตูในลีก จนได้รับการจับตามองจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อยากได้ตัวไปปั้นเกม
ฮาแวร์ทซ์ ที่ได้รับการยกย่องว่าจะมีค่าตัวระดับ 90 ล้านปอนด์ ถ้าย้ายจากถิ่น ไบ อารีน่า กล่าวว่า “ผมมักสงสัยและประหลาดใจในสิ่งที่ทุกคนพูดถึงตัวผมเอง ซึ่งแน่นอนผมต้องการก้าวสำคัญในอาชีพค้าแข้ง เพราะเป็นคนชอบความท้าทาย อันหมายถึงการย้ายไปค้าแข้งต่างแดน แม้ผมจะบอกเสมอว่า เลเวอร์คูเซ่น คือทีมที่ยอดเยี่ยม ทว่าความใฝ่ฝันก็คือการย้ายทีมที่ยกตัวเองขึ้นอีกระดับหนึ่ง”
เจ้าหนู ฮาแวร์ทซ์ เกิดที่ อาเคิ่น เมืองที่อยู่ทางด้านตะวันตกของประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์สทางตะวันตกของโคโลญจน์ ในอดีตเป็นพื้นที่ทำเหมืองถ่านหิน โดยมีพ่อทำอาชีพตำรวจและแม่เป็นทนาย ส่วนเลือดนักฟุตบอลนั้นได้จากปู่ที่เคยเล่นระดับสมัครเล่น ที่สำคัญเลย ปู่ ริชาร์ด นั้นเป็นประธานทีม อเลมานเนีย มาเรียดอร์ฟ ที่อ้าแขนรับหลานชายให้ได้สัมผัสประสบการณ์ลูกหนังครั้งแรกในชีวิตด้วยวัย 4 ขวบ
จนกระทั่งวัย 11 ขวบ ฮาแวร์ทซ์ ก็ได้เซ็นสัญญาร่วมทัพ เลเวอร์คูเซ่น ในปี 2010 หักอกทางด้าน โคโลญจน์ และ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ที่ให้ความสนใจเช่นเดียวกัน
ฮาแวร์ทซ์ ไต่ระดับอย่างรวดเร็วจนกระทั่งอายุ 15 ปี ได้รับการโปรโมตสู่ระดับไม่เกิน 17 ปีของ เลเวอร์คูเซ่น และพาทีมคว้าแชมป์ระดับเยาวชนนานาชาติ สิ้นสุดการรอคอย 25 ปีของทีม จนมาถึงวันที่ 15 ตุลาคมปี 2016 ประวัติศาสตร์ต้องจารึกเมื่อเจ้าหนูรายนี้ลงมาสำรองในศึก บุนเดสลีกา ที่บุกแพ้ แวร์เดอร์ เบรเมน 1-2 กลายเป็นเจ้าของสถิตินักเตะอายุน้อยสุดของทีมที่ได้เตะลีกสูงสุดเมืองเบียร์ด้วยวัย 17 ปี 126 วัน
แม้จะปรากฏตัวไม่สวยทีมต้องพบกับความพ่ายแพ้ แต่หลังจากนั้น ฮาแวร์ทซ์ ก็จ่ายให้ คาริม เบลลาราบี้ ยิงประตูที่ 50,000 ในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน
อย่างที่เกริ่นว่า ฤดูกาล 2018-2019 คือ ปีทองของ ฮาแวร์ทซ์ ที่แจ้งเกิดสู่โลกลูกหนังเต็มตัว โดยการยิง 17 ประตูบนเวที บุนเดสลีกา เยอรมัน นั้นอยู่ที่ 3 มีเพียง 2 คนที่ยิงได้มากกว่าคือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ของ บาเยิร์น มิวนิค 22 ประตู และ ปาโก อัลกาเซร์ ของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 18 ประตู นอกจากนี้ เปอร์เซนต์ผ่านบอลแม่นยำยังมากถึง 87.2 เลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่ แมนฯยู เท่านั้นที่สนใจ ฮาแวร์ทซ์ แต่ยังรวมถึง บาเยิร์น มิวนิค, รีล มาดริด, บาร์เซโลน่า, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ ดอร์ทมุนด์ ส่วนฤดูกาล 2019-2020 ยิงไป 6 ประตูจาก 22 นัดในลีกช่วย เลเวอร์คูเซ่น รั้งอันดับที่ 5 มีลุ้นไปเตะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนที่ซีซันจะถูกเบรกเอาไว้ที่ 25 นัดเพราะเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาดหนัก
ส่วนชีวิตนอกสนามนั้นเรียบง่าย โดยหลังจาก 90 นาที อันแสนตึงเครียด ฮาแวร์ทซ์ ไม่นิยมปาร์ตี้สังสรรค์และผ่อนคลายด้วยการดื่ม แต่เจ้าตัวเลือกกลับไปที่้บ้านนั่งเล่นเปียโนตัวโปรด โดยบรรเลงเพลงคลาสสิกเพื่อการวอร์มดาวน์ทั้งร่างกายและจิตใจ
ฮาแวร์ทซ์ นั้นเป็นนักเตะที่มีลีลาการเล่นสวยงามเล่นได้ทั้งสองเท้าประกอบกับรูปร่างหน้าตาทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “เจ้าชายลูกหนังเมืองเบียร์” คนต่อไป โดยเกจิลูกหนังบอกว่าเขามีส่วนผสมของ เมซุต โอซิล, มิชาเอล บัลลัค และ โทนี่ โครส อยู่ในคนๆ เดียวอันหมายถึงการเล่นได้ครบเครื่อง ซึ่งแน่นอน “บิ๊ก มูฟ” หรือการย้ายจาก เลเวอร์คูเซ่น คือ สิ่งที่น่าจับตามองและอนาคตก็จะพิสูจน์ได้ว่าคำกล่าวที่ว่านั้นไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด ส่วนจะย้ายไปร่วมทัพทีมใดนั้นถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจทีเดียว