ประกาศเป็นเรียบร้อยว่าตั้งแต่ศึกฟุตบอลฤดูกาล 2020/21 เป็นต้นไป ลิเวอร์พูล ยอดทีมแห่งสังเวียน พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ จะสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ใหม่ที่ผลิตโดย ไนกี้ แบรนด์กีฬาระดับโลกจากอเมริกา ภายหลังบรรลุข้อตกลงร่วมกันในฐานะผู้สนับสนุนชุดแข่งรายใหม่พร้อมเงินก้อนสูงที่สุดบนเกาะอังกฤษ ชนิดที่ นิว บาลานซ์ แบรนด์ผู้มาก่อนทำอะไรไม่ได้แต่อย่างใด
ลิเวอร์พูล โมงยามนี้ถือเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดจากลีกเมืองผู้ดี จากผลงานอันร้อนแรงไร้พ่าย 21 นัดติดต่อกันตั้งแต่ศึก พรีเมียร์ ลีก เปิดทำการเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ชนะ 20 เสมอ 1 ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำ พร้อมยึดเกาะตำแหน่งจ่าฝูงแบบเหนียวแน่นทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี แชมป์เก่าไปไกล ซึ่งมีสิทธิสูงลิ่วที่พลพรรคนักเตะของ เจอร์เกน คล็อปป์ จะได้ชูถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดที่เฝ้ารอมานาน 30 ปี สำเร็จเสียที
นอกจากถ้วยแชมป์ลีกที่มีสิทธิครอบครองถึง 90% นักเตะ “หงส์แดง” ก็ยังมีลุ้นเก็บถ้วยอีก 2 รายการคือ เอฟเอ คัพ ที่ตอนนี้เข้าถึงรอบสี่ไปแล้ว รวมถึงสังเวียนยุโรป ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในฐานะแชมป์เก่าซึ่งเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแล้ว ด้วยผลงานน่าเกรงขามเช่นนี้พวกเขาสามารถเรียกเงินจากสปอนเซอร์ได้มากขึ้นแบบอักโข เพราะในโลกทุนนิยมแบบนี้ ใครๆ ก็อยากลงทุนกับทีมที่เก่งที่สุดอยู่แล้ว
ไม่พ้น ไนกี้ เจ้าของผลิตภัณฑ์กีฬายักษ์ใหญ่ชาวอเมริกัน ที่ขอกระโดดมาร่วมลงทุนด้วยในฐานะสปอนเซอร์ชุดแข่งรายใหม่ ซึ่งก็ประกาศจับมือไปตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การร่วมงานของทั้งสองฝ่ายไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่ายเหมือนดีดนิ้วเพราะผู้ผลิตชุดแข่งรายเดิมอย่าง นิว บาลานซ์ ไม่ยินยอมให้ ลิเวอร์พูล ซึ่งเปรียบเสมือนคนรักเก่าไปอยู่กับคนรักใหม่
แฟนบอล “หงส์แดง” รู้กันดีว่า นิว บาลานซ์ ออกแบบชุดแข่งให้กับทีมดังย่านเมอร์ซีย์ไซด์มาตั้งแต่ปี 2015 ด้วยเงินสัญญาปีละ 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,590 ล้านบาท) ซึ่งชุดแข่งที่ออกมาก็ถือว่าสวยงาม แตกต่างจากทีมอื่นที่ใช้แบรนด์ยอดนิยมในท้องตลาดอย่าง ไนกี้, อาดิดาส และ พูม่า ประกอบกับผลงานของ ลิเวอร์พูล ดีขึ้นต่อเนื่องจนมาพีคสุดได้ถ้วย ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก สมัย 6 ส่งให้ยอดขายเสื้อของทีมภายใต้การดูแลโดย นิว บาลานซ์ ขายดีเทน้ำเทท่า
ลิเวอร์พูล กับ นิว บาลานซ์ ผูกพันรักมานานจนกระทั่งปฏิทินลูกหนังพลิกสู่ฤดูกาล 2019/20 แบรนด์กีฬาสัญชาติอเมริกัน ที่เหลือสัญญาผลิตชุดแข่งให้ “เครื่องจักรสีแดง” แค่ 1 ปี เปิดโต๊ะคุยกับ ลิเวอร์พูล เพื่อเจรจาเรื่องต่อสัญญาฉบับใหม่ ซึ่งพวกเขาก็มั่นใจว่าด้วยสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่น การเจรจาน่าจะจบลงไม่ยาก และบริษัทก็จะได้เม็ดเงินก้อนโตเพิ่มไปอีกขั้นจากผลงานร้อนแรงไฟลุกของทีมในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ที่ปัจจุบันกลายเป็นทีมฟุตบอล “หล่อเลือกได้” ไปแล้ว เรียกร้องสัญญาฉบับใหม่จาก นิว บาลานซ์ ปีละ 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,980 ล้านบาท) หรือมากกว่าสัญญาเดิมเกือบ 1 เท่าตัว เม็ดเงินก้อนโตนี้ทำเอา นิว บาลานซ์ ถึงกับหงายหลังจนต้องขอไปตั้งหลักใหม่ วางแผนขอประนีประนอมตัวเลขให้อยู่ในระดับที่พวกเขาจ่ายได้อย่างเหมาะสม ก่อนมาคุยกันอีกที
กระนั้นเอง ไนกี้ สบช่องเห็นโอกาสที่ ลิเวอร์พูล ยังไม่มีสปอนเซอร์ชุดแข่งปีหน้า จึงส่งตัวแทนติดต่อมาขอเจรจาบ้าง แน่นอนว่าด้วยยศถาบรรดาศักด์ที่ยิ่งใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีผลิตภัณฑ์มากมายทั้งชุดแข่ง, รองเท้า, อุปกรณ์ต่างๆ แถมมีพรีเซ็นเตอร์เป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกมากมายเหนือกว่า นิว บาลานซ์ และยังยอมจ่ายมากกว่า 75 ล้านปอนด์ตามที่เรียกร้อง ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ลังเล และรู้แล้วว่าพวกเขาจะให้ใครผลิตชุดแข่งตัวใหม่
เมื่อ นิว บาลานซ์ รู้ตัวว่ากำลังจะเสียรายได้อันงดงามให้คู่แข่งอย่างไนกี้ พวกเขาจึงต้องเรียกร้องต่อสู้เป็นธรรมดา โดยงัดเอาสัญญาที่เคยตกลงกับ ลิเวอร์พูล ไว้ว่าหากพวกเขาจ่ายเงินสนับสนุนในตัวเลขเท่ากับคู่แข่งรายใหม่ (ซึ่งเพิ่งจะยอมจ่ายหลัง ไนกี้ เข้ามาร่วมเจรจา) ก็จะได้สิทธิเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมต่อไป กระนั้นเองเมื่อเทียบกับโอกาสทางการตลาดในระดับเวิลด์ไวด์ และองค์ประกอบต่างๆ ที่ ไนกี้ เหนือกว่าหลายขุม ลิเวอร์พูล ก็ยังเลือก ไนกี้ อยู่ดี
เมื่อตกลงกันไม่ได้ นิว บาลานซ์ จึงขอให้ศาลสูงที่อังกฤษช่วยตัดสิน พร้อมยกแผนการอนาคตว่าจะเปิดร้านค้าใหม่เพิ่มเป็น 40,000 แห่งทั่วโลกเพื่อขายชุด ลิเวอร์พูล มาเป็นเครื่องยั่วใจ ทว่าคนหมัดรักแล้วเรียกร้องอย่างไรก็ไม่กลับมา ทีมงานของ ลิเวอร์พูล มองว่าตัวเลขร้านค้าที่ นิว บาลานซ์ ยกมาคุยเป็นเรื่องเกินจริง และเมื่อศาลสูงพิจารณารายละเอียดสองฝั่ง สุดท้ายเป็น ไนกี้+ลิเวอร์พูล ได้รับชัยชนะ ด้วยเหตผลว่า “ประโยชน์ทางสัญญาเหนือกว่า นิว บาลานซ์”
หลังเสียค่าดำเนินการบนชั้นศาลไปราว 555,000 ปอนด์ (ประมาณ 22 ล้านบาท) ไนกี้ กับ ลิเวอร์พูล ร่วมงานกันอย่างเป็นทางการ ภายใต้เงินสนับสนุนปีละ 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,180 ล้านบาท) ตลอดสัญญา 5 ปีที่เซ็นกัน โดยถือเป็นตัวเลขผู้สนับสนุนชุดแข่งที่สูงที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษ แซงหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่รักคู่แค้นที่เซ็นกับ อาดิดาส พร้อมขึ้นเป็นสัญญาชุดแข่งมูลค่าอันดับ 3 ของโลก รองจาก บาร์เซโลน่า และ รีล มาดริด
ประโยชน์จากดีลนี้คือนอกจากได้ชุดแข่งใหม่และเม็ดเงินสนับสนุนก้อนโต ผลิตภัณฑ์ของ ลิเวอร์พูล ภายใต้แบรนด์เครื่องหมาย Swoosh จะถูกส่งตรงไปยังร้านค้าของ ไนกี้ ฟุตบอล ซึ่งมีอยู่ด้วยกันมากกว่า 6,000 ร้านทั่วโลก กระจายไปถึงมือแฟนคลับกว้างขวางกว่าเดิม โดยจะบอกว่ามีร้าน ไนกี้ อยู่เกือบทุกประเทศก็ยังได้ แถมยังดึงนักกีฬาที่เป็น แบรนด์ แอมบาสเดอร์ ของไนกี้ มาร่วมโปรโมตทีมให้ได้อีกต่างหาก
เหล่านักกีฬาระดับซูเปอร์สตาร์ที่มีสัญญากับ ไนกี้ มีมากมายโดยเฉพาะ เลอบรอน เจมส์ จอมยัดห่วงแห่งโลก NBA รายนี้เป็นหุ้นส่วนสโมสรและแวะเวียนมาเยี่ยมชมเกมที่ แอนฟิลด์ บ่อยครั้ง รวมถึง เซเรนา วิลเลียมส์ ยอดนักเทนนิสหญิงจอมแกร่งชาวอเมริกัน ซึ่งอาจได้เห็นสองคนนี้สวมเสื้อของ ลิเวอร์พูล ถ่ายโฆษณาให้ก็เป็นได้ และสำคัญยิ่งกว่าคือ ลิเวอร์พูล อาจได้ฐานแฟนคลับใหม่จากเป็นแฟนกีฬาชนิดอื่นเข้ามาร่วมเชียร์ด้วยอีกเช่นกัน
แม้ยังไม่เห็นรูปทรงหรือลวดลายว่าชุดแข่งตัวใหม่ของ ลิเวอร์พูล ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ของ ไนกี้ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรจนกว่าจะถึงฤดูกาลหน้า แต่ดีลครั้งนี้ก็เปรียบเสมือนเป็นการเปิดบันทึกหน้าใหม่ให้ “หงส์แดง” กลายเป็นที่จดจำของคนทั่วโลกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และหากปีนี้พวกเขาได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ที่รอคอยมานานสำเร็จ ก็เตรียมสถาปนาตนเองขึ้นไปเป็นทีมฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่และมีมูลค่าการตลาดสูงสุดในโลกได้เลย