ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 – กลายเป็นข่าวฮือฮาทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเมื่อรายงานในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 มีการประกาศว่าชาติสมาชิกทั้งหมดมีความยินดีจะร่วมมือกันยื่นเสนอตัวกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เพื่อร่วมกันเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก เวิลด์ คัพ ปี 2034 สานฝันให้แก่แฟนบอลได้เห็นชาติบ้านเกิดได้เป็นสังเวียนรองรับทัวร์นาเมนต์ระดับโลก รวมถึงส่งทีมชาติร่วมฟาดแข้งรอบสุดท้ายครั้งแรกในประวัติศาสตร์
10 ชาติอาเซียนประกอบด้วย บรูไน, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, เมียนมาร์, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เวียดนาม และ ไทย แน่นอนว่าทุกชาติล้วนมีความฝันอยากไปตะบันแข้ง เวิลด์ คัพ รอบสุดท้ายสักครั้ง เพียงแต่การลงสนามรอบคัดเลือกที่ผ่านมายังไม่มีชาติใดไปถึงจุดหมาย แม้ทีมฟุตบอลหญิงไทยจะได้ประกาศศักดาในรายการฟุตบอลโลกหญิงมาแล้ว 2 หน แต่ความนิยมก็เทียบไม่ได้เท่ากับฟุตบอลชาย ดังนั้นการรวมตัวเสนอเป็นเจ้าภาพนั้นคือทางลัดที่เร็วที่สุดที่จะทำให้ฝันเป็นจริง
ฟีฟ่า เคยอนุมัติให้ ญี่ปุ่น กับ เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพศึกลูกหนังชิงแชมป์โลกเมื่อปี 2002 ขณะเดียวกันด้วยวาระที่ เวิลด์ คัพ เดินทางมาสู่หลัก 104 ปี จิอันนี อินฟานติโน่ ประธานใหญ่ ฟีฟ่า และบอร์ดบริหารอาจมีแนวโน้มอยากทำอะไรพิเศษเช่นการมีเจ้าภาพร่วมหลายๆชาติอีกครั้ง ซึ่งเมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่สำหรับการพิจารณาเลือกอาเซียนเป็นเจ้าบ้าน ก็ต้องมองว่า “มีความเป็นไปได้” อันเป็นผลจากความเฟื่องฟูในฟุตบอลระดับอาเซียนที่ได้รับกระแสความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่ว่าคอบอลยุโรปคงนึกไม่ถึง
รายงานจาก ฟอร์บส สื่อธุรกิจระดับโลก สำรวจพบว่าวงการฟุตบอลอาเซียนมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้คนแต่ละชาติล้วนแต่เป็นพวกบ้าคลั่งฟุตบอลเข้าเส้น สังเกตได้จากทัวร์นาเมนต์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ที่ผ่านมา 10 ชาติอาเซียนที่ลงโม่แข้ง รวมถึง ติมอร์ เลสเต้ แขกรับเชิญ มียอดผู้ชมรวมกันตลอดรายการที่ 90,000 คน ขณะที่ลีกฟุตบอลของ ไทย, เวียดนาม และ มาเลเซีย ได้รับความนิยมพุ่งสูงขึ้น มีนักเตะคุณภาพหลากหลาย ผลงานระดับชาติก็น่าพอใจ ส่งให้ทีมชาติทั้ง 3 ถูกยกเป็นทีมระดับแนวหน้าของอาเซียนโดยปริยาย
ขณะที่ อาเซียน มีการคาดเดาว่าอีก 15 ปีข้างหน้า ทุกประเทศจะมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงปัจจัยต่างๆเช่นสนามบินของทุกชาติจะได้รับการขยับขยายา รองรับเที่ยวบินที่ขนแฟนบอลมาได้มากกว่า 500 ไฟลท์ต่อวัน ด้านฝั่งสนามแข่งขันตอนนี้ก็มีสนามกีฬาใหญ่ๆใน มาเลเซีย กับ อินโดนีเซีย จุดคนได้ระดับ 20,000 ที่นั่ง พร้อมคาดการณ์ว่าหาก อาเซียน ได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกจริงๆจะมีชาวต่างชาติเดินทางมาถึง 600 ล้านคน แถมได้เรื่องของการท่องเที่ยว ช็อปปิ้งจับจ่ายใช้สอย เงินไหลเวียนในประเทศอีกมหาศาล
ซึ่งก็สอดคล้องกับวัฒนธรรมของ ฟีฟ่า ที่ต้องการเปิดโอกาสให้ชาติต่างๆได้รับหน้าเป็นเจ้าภาพ เวิลด์ คัพ ผลัดเปลี่ยนกันไป โดยปี 2022 มี กาตาร์ จับจองไปแล้ว ปี 2026 ก็มี สหรัฐอเมริกา ร่วมมือกับ แคนาดา และ เม็กซิโก เป็นเจ้าภาพแบบแบบเพลย์เซฟเพราะมีประสบการณ์ผ่านทัวร์นาเมนต์นี้มาแล้ว โดยมี แคนาดา หน้าใหม่เป็นกำลังเสริม ส่วนปี 2030 ต้องรอดูผู้เสนอตัวแต่คาดว่า จีน มหาอำนาจแห่งเอเชีย อาจยกมือขอสร้างประวัติศาสตร์เป็นเจ้าภาพด้วย
ถึงบอกว่า อาเซียน มีโอกาสเป็นเจ้าภาพ เวิลด์ คัพ กระนั้นก็มีปัญหาที่ ฟีฟ่า ต้องประเมินให้ดี โดยเฉพาะเรื่องส่งทีมเข้ารอบสุดท้าย อย่างที่รู้กันว่าชาติที่เป็นเจ้าภาพจะได้สิทธิเตะรอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องไปควอลิฟายให้เหนื่อยยาก ซึ่งหมายความว่าถ้าทุกชาติอาเซียน ประสบความสำเร็จในการร่วมมือเสนอขอเป็นเจ้าภาพ เราก็จะเห็นทีมชาติฝั่งอาเซียนทั้งหมด 10 ทีมมาโม่แข้งง่ายๆเลย แน่นอนว่าย่อมสร้างความขุ่นเคืองต่อชาติจากทวีปอื่นๆทั้ง เอเชีย, ยุโรป, อเมริกาใต้, แอฟริกา ที่เตะกันขาแทบขาดเพื่อเข้ารอบสุดท้ายแบบมีเกียรติและศักดิ์ศรี
หาก 10 ชาติอาเซียนลงเตะรอบสุดท้ายหมดเลย จะเกิดปัญหาแบ่งโควต้ากันไม่ลงตัว โดยเฉพาะฝั่งเอเชียที่ปกติมี 8 ทีม แม้เวลานั้นทัวร์นาเมนต์จะเพิ่มทีมรอบสุดท้ายเป็น 48 ทีมแล้วแต่ก็ไม่ลงล็อคอยู่ดี จะนำมาสู่ข้อถกเถียงสารพัด ดังนั้นความเป็นไปได้คือ ฟีฟ่า อาจเจรจากับสมาชิกอาเซียนเพื่อแบ่งโควต้าเป็น 2 ส่วนคือ ประเทศที่ได้ส่งทีมเข้าร่วม (อาจคัดเลือกจากแรงกิ้งกับผลงานในรายการต่างๆ) กับประเทศที่เป็นเจ้าภาพอย่างเดียว แต่เชื่อว่าการเจรจาต้องยืดเยื้อแน่เพราะทุกชาติต่างก็ใฝ่ฝันส่งทีมลงเตะรอบสุดท้าย เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ประเทศทั้งนั้น
อีกเรื่องที่อาจทำให้เหล่าชาติอาเซียนน้ำตาตก คือการเข้ามาของมหาอำนาจแห่งเอเชียอย่าง จีน ที่ได้รับการคาดหมายว่ารัฐบาลแดนมังกรจะยื่นเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ เวิลด์ คัพ ปี 2030 ที่ยังว่างอยู่ หรือช้าสุดก็คือ 2034 จีน มีข้อได้เปรียบมากมายมหาศาลตรงที่พวกเขาเคยจัดกีฬาระดับโลกอย่าง โอลิมปิก 2008 มาแล้วที่กรุงปักกิ่ง มีสังเวียนมาตรฐานรองรับการแข่งขันทั่วประเทศจากการที่พวกเขามีบอลลีกของตัวเอง ถึงไม่พอก็มีเวลาสร้างใหม่ได้ ขณะที่ฟุตบอลทีมชาติถึงอันดับโลกจะอยู่ที่ 73 ผลงานไม่ดีนักแต่ก็มีเงินมหาศาลที่พร้อมยกระดับประเทศสู่การเป็นเจ้าภาพที่ดี
ทั้งนี้ หาก จีน เดินเครื่องเต็มที่ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ถึงจะโดน 10 ชาติอาเซียนชิงประกาศตัดหน้าไปก่อนแต่ด้วยเม็ดเงินและความยิ่งใหญ่ก็คงทำให้ ฟีฟ่า รีบพิจารณาพวกเขาก่อนเป็นลำดับแรก และถ้าเป็นการเสนอตัวสำหรับปี 2030 ชาติอาเซียนทั้งหลายก็เตรียมโบกมือลาได้เลยเพราะอีกหนึ่งนโยบายขององค์กรลูกหนังโลกค่ายนี้คือไม่ให้ทวีปใดเป็นเจ้าภาพ เวิลด์ คัพ 2 หนติดต่อกัน
ไม่ว่าแฟนบอลประเทศไหนก็ฝันเห็นชาติบ้านเกิดลงแข่งขัน ฟุตบอลโลก สักครั้งในชีวิตก่อนตาย โดยเฉพาะทีมชาติไทยที่รอกันมาเนิ่นนาน อย่างไรก็ตาม การผนึกกำลังเพื่อให้ทีมชาติได้ผลพลอยได้ลงเตะรอบสุดท้ายทั้งหมด 10 ทีม อาจส่งผลกระทบหลายด้าน ดังนั้นระหว่างรอการร่วมมือและตกลงผลประโยชน์ที่ต้องพูดคุยกันหลายฝ่าย กลับมาพัฒนาทีมชาติของตัวเองแล้วไปเล่นรอบสุดท้ายแบบสมศักดิ์ศรีภาคภูมิใจน่าจะเป็นเรื่องง่ายกว่า ยังมีเวลาอีก 15 ปีในการยกระดับทีมให้แข็งแกร่งขึ้น ป่านนั้นคงไม่มีทีมชาติประเทศใดในอาเซียนย่ำอยู่กับที่กระมัง รวมถึงทีมไทยด้วย