xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอุทธรณ์ยืนโทษจำคุก 10 ปี "เสี่ยบิ๊ก" อดีตประธานทีม "เพื่อนตำรวจ"

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เสี่ยบิ๊ก สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา อดีตประธานสโมสร เพื่อนตำรวจ (ภาพในอดีต)
เมื่อวันพุธที่ 3 เมษายน 2562 ณ ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1134/2559 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ "เสี่ยบิ๊ก" อายุ 44 ปี อดีตประธานสโมสรฟุตบอลเพื่อนตำรวจ เป็นจำเลยในความผิดฐานปลอม และใช้ตั๋วเงินปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266 (4), 268

จากกรณีวันที่ 21 ธันวาคม 2556 - 21 กรกฎาคม 2557 จำเลยกับบริษัท บิลเลี่ยน อิโนเวเทค กรุ๊ป จำกัด ร่วมกันปลอมตั๋วแลกเงิน หรือดราฟท์ของธนาคารฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ แบงค์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อไปใช้อ้างต่อสำนักงานสวัสดิการ และสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ว่าเป็นตั๋วแลกเงินที่แท้จริงจากธนาคารฮ่องกงฯ ที่ออกคำสั่งจ่ายเงินตามคำสั่งของสำนักงาน สกสค.ผู้เสียหาย จำนวน 100 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ หรือ 3,200 ล้านบาท ยึดถือไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันตั๋วสัญญา ใช้เงินของบริษัทบิลเลี่ยนฯ ที่จำเลยนำมาหลอกลวงขายให้แก่ สกสค.โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนสนับสนุนพิเศษ และส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้สมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.)

โดยคดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ให้ลงโทษนายสัมฤทธิ์ จำเลย ฐานใช้ตั๋วเงินจำคุกปลอม 10 ปี และริบของกลาง ต่อมานายสัมฤทธิ์ยื่นอุทธรณ์สู้คดี

ซึ่งในวันนี้ศาลเบิกตัวนายสัมฤทธิ์ ที่ไม่ได้รับการประกันตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อมาฟังคำพิพากษา โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาแล้วเห็นว่า การที่จำเลยอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลอมตั๋วเงิน และได้ลาออกก่อนที่ ช.พ.ค. จะโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทนั้น ตามข้อเท็จจริงปรากฏหลักฐานว่า เมื่อทาง ช.พ.ค. ได้มีการโอนเงินเข้ายังบัญชีบริษัทประมาณ 1,200 ล้านบาทแล้ว บริษัทได้มีการโอนเงินไปยังบัญชี จำเลย 40 ล้านบาท และมีการถอนเงินจากบัญชีบริษัทอีก 120 ล้านบาท ในช่วงเวลาที่จำเลยอ้างว่าได้ลาออก อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยในลักษณะเร่งรีบ และในช่วงเวลาที่มีเงินเข้าบัญชีบริษัทเป็นจำนวนมาก และยังแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังมีส่วนบริหารในบริษัทอยู่ มิฉะนั้นจะไม่มีการโอนเงินจำนวนมาก ขณะที่ในการทำหนังสือเพื่อยืนยันกับ ช.พ.ค. ก็มีจำเลยร่วมลงชื่อเป็นพยานและเป็นผู้ค้ำประกันด้วย

จึงย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยยังทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหารบริษัท เพราะหากจำเลยลาออกแล้วไม่มีเหตุผลที่บริษัทจะโอนเงินจำนวนมากขนาดนี้ให้ เห็นได้ว่าการลาออกของจำเลยเป็นการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง ที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้ทำการอาวัลตั๋วและไม่ได้ร่วมปลอมกับใช้ตั๋วสัญญาที่ปลอมขึ้น และการกระทำต่างๆ ตามฟ้องนั้น ล้วนเป็นการกระทำขึ้นหลังจากที่จำเลยลาออก ก็ฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยร่วมรู้เห็นกับบริษัทร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วแลกเงิน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

หลังทราบผลการพิจารณาคดีแล้ว มีการระบุว่านายสัมฤทธิ์ ไม่ได้แสดงความยินดียินร้าย และมีสีหน้าเรียบเฉยกับคำตัดสินดังกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น