คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
จากระยะเวลาร่วม 3 ปี บนเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง หลังจากเอาชนะกลุ่ม "บังยี" มาได้นั้น แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างจะไม่ถูกใจแฟนบอลนัก โดยเฉพาะเรื่องของผลงานนักกีฬาทีมชาติที่ว่ากันตามตรง เห็นผลแค่การคว้าแชมป์ซีเกมส์ เท่านั้นที่ดูเป็นรูปธรรม แต่ก็ต้องยอมรับว่าการมาของ "บิ๊กอ๊อด" และทีมงานหลายอย่างก็พยายามสร้างความแตกต่างจากทีมผู้บริหารยุคเดิม เพียงแต่เหมือนว่าจะยังไม่โดน
อย่างกรณีศูนย์ฝึกฟุตบอลฯ ที่สมาคมฟุตบอล อยากมีเป็นของตัวเอง เพราะมองว่าของเก่าที่หนองจอก มีวาระซ้อนเร้นเยอะ เลยขอให้หน่วยงานราชการต่างๆ ที่มีที่มีทางที่เขาไม่ได้ใช้ช่วยเหลือ ปรากฎว่าขอไปเป็นแรมปีก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ประชุมทีก็ได้คำสัญญามาที แล้วจากนั้นก็หายไปในสายลม สุดท้ายเลยต้องประกาศว่าใครมีพื้นที่เข้าเงื่อนไขของสมาคม ก็ช่วยเสนอมาที พร้อมควักทุกเมื่อ นี่ก็เรื่องหนึ่งที่ดูแล้วไม่น่าจะทันวาระ 4 ปี ของพล.ต.อ.สมยศ
นี่ยังมีเรื่องการหาตัวผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค ที่จะมาวางแนวทางให้กับทีมชาติไทย และการพัฒนาฟุตบอลทั้งระบบ ซึ่งแต่เดิมเป็นเรื่องของประธานฝ่ายเทคนิค หรืออุปนายกสมาคมฝ่ายพัฒนาเทคนิค ซึ่ง "โค้ชเฮง" วิทยา เลาหกุล ดูแล แต่เมื่อต้องการเปลี่ยนโครงสร้าง ให้ตัว "โค้ชเฮง" ไปดูแลนักฟุตบอลเยาวชน น่าจะเพื่อให้ปลอดภัยจากคำวิจารณ์และถ้อยถล่มจากโลกโซเชียล แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาตัวจริงมานั่ง ผอ.เทคนิค ไม่ได้เสียที แม้จะมีรายงานว่ามีชาวต่างแดนสัญชาติเยอรมันมาเสนอตัวแล้ว (ล่าสุดมีอดีตประธานเทคนิคของ เกาหลีใต้ ก็มา)
ล่าสุดสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอล ยู 23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 รอบสุดท้าย เดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งรายการดังกล่าวถูกจัดให้เป็นรายการคัดเลือกทีมจากโซนเอเชีย เพื่อเข้าแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการนำเจ้าหน้าที่จากสหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ เอเอฟซี ลงพื้นที่ 6 สนาม ประกอบด้วย
1.สนามราชมังคลากีฬาสถาน (กรุงเทพฯ) ความจุ 48,000 ที่นั่ง 2.สนามกีฬา สมโภช 700 ปี (เชียงใหม่) ความจุ 25,000 ที่นั่ง, 3.สนามเมืองทอง สเตเดียม (นนทบุรี) ความจุ 15,000 ที่นั่ง, 4. สนามเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (นครราชสีมา) ความจุ 25,000 ที่นั่ง , 5. สนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ปทุมธานี) ความจุ 22,000 ที่นั่ง และ 6. สนาม บางกอกกล๊าส สเตเดียม (ปทุมธานี) ความจุ 13,000 ที่นั่ง ให้ เอเอฟซี พิจารณา ก่อนเลือกเหลือ 4 สนามที่ใช้จัด
ซึ่งจะว่าไปแล้วเหมือนการยิงกระสุนนัดเดียว แล้วหวังผลได้นกหลายตัว เพราะ "บิ๊กอ๊อด" ยอมรับเองว่า นอกจากมีเป้าหมายผลักดันให้ทีมชาติ ชุดยู 22 ภายใต้การดูแลของ อเล็กซานเดร กาม่า คว้าตั๋วไปโอลิมปิก 2020 แล้ว ยังมีเป้าหมายใหญ่กว่านั้น คือการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ระดับเยาวชน และหากรายการชิงแชมป์เอเชีย ยู 23 ทำได้ดี โอกาสจะจับมือกับชาติอาเซียนในการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายก็มีเหมือนกัน
เมื่อดูจากแผนงาน และเป้าหมายของ "บิ๊กอ๊อด" แล้ว เชื่อว่าข่าวลือเรื่องการวางมือจากตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯ หลังหมดวาระนี้คงไม่จริงแล้วหละมั้ง....