คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
เรื่องการเมืองกำลังถูกเฝ้าจับตาอย่างใจจดใจจ่อ วันต่อวัน จากการเลือกตั้งที่เลื่อนกำหนดครั้งแล้วครั้งเล่า คำถามที่วนเวียนอยู่ในเวลานี้คือ เลื่อนหรือไม่ เลื่อนไปวันไหนแน่ ถึงขั้น เลือกหรือเปล่าเนี่ยะ พรรครัฐบาลเตรียมจัดทัพพร้อมสมบูรณ์หรือยัง เก้าอี้ที่เตรียมให้คนฟังการหาเสียงทำไมมันโล่งจัง พรรคนี้ได้รับการตอบรับจากประชาชนแน่หรือ หรือแค่คุยเขื่องสร้างราคา ชื่อของนายกรัฐมนตรีจะมาปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ที่พรรคเสนอให้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลใหม่ ที่เรียกว่า ลิสท์ อ๊อฟ พรายม์ มินิสเทอเรียล แคนดิเดทส์ (List of Prime Ministerial Candidates) เมื่อไรกันแน่
รัฐธรรมนูญของชาตินี้แปลกประหลาดจากหลักสากล สมาชิกวุฒิสภาดันมีส่วนตั้งนายกรัฐมนตรีด้วย แถมพวกหนึ่งขอแค่ 126 จาก 500 เสียง ก็ชูคนของตนเป็นท่านผู้นำได้ เนื่องจากมีประตูตั้งต้นอยู่แล้วถึง 250 ลูก ในขณะที่อีกพวก หากจะชนะศึกหนนี้ ต้องทะลวงตาข่ายให้ได้อย่างน้อย 376 ตุง นี่มันเป็นราคาต่อรองที่มากกว่า เสมอควบครึ่ง หรือ ครึ่งควบลูก อย่างเหลือคณา ผลของการเลือกตั้งเท่านั้นที่จะชี้ขาดว่า ประชาชนจะเลือกวิถีชีวิตบักโกรกแบบเดิม หรือเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี
หันมาเรื่องฟุตบอลชิงแช้มพ์แห่งชาติเอเชีย (2019 AFC ASIAN CUP) ที่กำลังฟาดแข้งกันที่ สหรัฐ อาหรับ เอมีเรทส์ ความหวังของ ทีมชาติไทย คือการได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบ น้อค-เอ๊าท์ ซึ่งทางสมาคมกีฬาฟุตบอลมองไปถึง รอบ 8 ทีมด้วยซ้ำ แต่เพียงแค่นัดแรกในกลุ่มเอ ที่ ไทย ทีมอันดับ 118 จากการจัดอันดับของ ฟีฟ่า (FIFA Ranking) เจอกับ อินเดีย ทีมอันดับ 97 แต่ถ้าดูจากสถิติที่เคยเจอกัน 21 นัด ไทย ชนะ 11 เสมอ 6 อินเดีย ชนะ 4 ยิ่งดูสถิติ 5 เกมหลังสุด ไทย ชนะ 2 เสมอ 3 ไม่มีแพ้เลย แต่ อินเดีย ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 2 สรุปเราเหนือกว่าเยอะ ทุกคนพร้อมและเชื่อมั่นว่า ไทย ทุบ อินเดีย แน่นอน แต่ผลออกมากลับแพ้ยับเยิน 1-4 แทบจะการันตีการตกรอบแรกได้เลย เพราะ อินเดีย น่าจะเป็นทีมที่ยากน้อยที่สุดในกลุ่มนี้
เกมในวันนั้น มีโลวาน ราเยวัช เฮ้ดโค้ชเปลี่ยนจากการตั้งรับอย่างเหนียวแน่นเป็นเปิดเกมรุกเข้าใส่ แต่ดูเหมือนการวางตำแหน่งนักเตะหลายตัวขัดใจแฟนบอล เช่น ศูนย์หน้าอย่าง อดิศักดิ์ ไกรษร ดันให้ไปวิ่งเป็นปีก ชนาธิป สรงกระสินธ์ ต้องเล่นค่อนข้างถนอมตัว มีจังหวะถูกหักล้มเหมือนกัน ดังนั้น การลากเลื้อย ล้อค ดึง คลึง กระชาก จึงมีให้เห็นน้อยมาก โดยเฉพาะครึ่งหลัง ต้องชิ่งทิ้งตลอด แดนกลางยังทำได้ไม่ดี ยิ่งกลับมาใช้มุขเดิม เอา สิโรจน์ ฉัตรทอง ลงมาก็แทบไม่เห็นในจอ จบเลย
การปลดโค้ชเพื่อสังเวยอาการอกหักดังพลั่กของแฟนบอลชาวไทยทั่วประเทศเกิดขึ้นตอนตี 4 แล้วมอบภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ให้กับ โค้ชโต่ย ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ผู้ช่วยของ ราเยวัช นั่นเอง เขาคงคิดว่า คนที่ได้เห็นการทำงานของลูกพี่และขลุกอยู่กับทีมมาระยะหนึ่ง อาจมองเห็นบางจุดที่น่าจะปรับแก้ จนนำพาทีมไปได้ดีกว่าที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กระแสของแฟนบอลยังพุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนผู้นำองค์กรเสียเลย เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความล้มเหลวซ้ำซาก
การปลดนายกรัฐมนตรี คงกระทำไม่ได้ เนื่องจากใช้กำลังทหารยึดอำนาจมา แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่เถลิงอำนาจเกือบครบ 5 ปีแล้ว เศรษฐกิจไม่ดีเอามากๆ ประชาชนหน้าห่อเหี่ยว ปราบทุจริตก็ไม่เห็นเป็นผล นี่ก็ขนซื้อเรือดำน้ำ ซื้อเครื่องบินกันเข้าไป เงินหมดเกลี้ยงคลังหรือยังก็ไม่รู้ ความเฮงซวยทั้งมวลที่เป็นปัญหาในชาติก็ยังมีอยู่เช่นเดิม ไม่เห็นเปลี่ยนแปลง การปลดนายกสมาคมกีฬาฟุตบอล ก็ทำไม่ได้เช่นกัน เพราะเป็นตำแหน่งที่ได้มาจากการเลือกตั้ง แม้ผลการแข่งขันนั้นล้มเหลวทุกรายการ แต่ใครขืนไปแทรกแซง ฟีฟ่า จ้องแบนแน่นอน หนทางเหลือเพียง นายก ทนกระแสโห่ไล่ไม่ไหว หรือยอมปล่อยวางอำนาจที่มีอยู่เอง แต่จะเป็นนายกไหนล่ะครับ อันนี้ ผมว่าคงเป็นคนที่ไม่ต้องห่วงพรรคพวกพี่น้องที่ห้อมล้อม หรือกลัวเรื่องติดค้างล้างชำระนั่นแหละที่ไปง่ายกว่าครับ