ภายหลังจบเกมประเดิมสนามเอเชียน คัพ 2019 ขุนพล "ช้างศึก" ทีมชาติไทย เปิดหัวอย่างสุดห่วยพ่ายแพ้ต่อ ทีมชาติอินเดีย 1-4 เป็นการปราชัยให้แก่คู่แข่งจากแดนโรตีเป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปี ทั้งๆที่เกมนี้เป็นเกมสำคัญที่สุดในรอบแบ่งกลุ่ม
คนที่ถูกวิพากย์วิจารณ์มากที่สุดหนีไม่พ้นกุนซือใหญ่ มิโลวาน ราเยวัช เทรนเนอร์ชาวเซิร์บ ที่โดนแฟนบอลก่นด่ายับเยินมาแล้วตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์อาเซียน "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018" ซึ่งทีมช้างศึกอกหักกระเด็นตกรอบรองชนะเลิศจากความพ่ายแพ้ต่อ มาเลเซีย ด้วยกฎประตูทีมเยือน
จะว่าไป "ช้างศึก" ภายใต้การคุมทีมของมิโลวาน ราเยวัช มีทรงบอลที่ไม่ถูกอกถูกใจแฟนบอลเอาเสียเลยนับตั้งแต่เขาเข้ามากุมบังเหียน จากทีมที่เล่นเกมรุกได้น่าตื่นตาตื่นใจ กลับกลายเป็นทีมที่เน้นเกมรับเป็นหลัก แม้แต่เจอกับทีมในอาเซียนเองก็ยังเน้นเกมรับอยู่เลย
ที่เห็นได้ชัดจริงๆในทรงบอลของทีมช้างศึกยุคราเยวัช เมื่อใดที่ทีมต้องการเล่นเกมบุกแบบจริงๆจังๆ ต้องการประตูในเกมนั้นๆ ทีมมักจะทำอะไรกันไม่เป็น อาจเป็นเพราะตอนฝึกซ้อม "ลุงวัช" บอกนักเตะให้ซ้อมกันแต่เกมรับหรือเปล่า พอมาลงเล่นเกมจริงๆ ยามต้องการประตูกับกลายเป็นทำอะไรไม่ได้ เห็นได้ชัดในเกมรอบรองฯ ซูซูกิ คัพ พบ มาเลเซีย ที่ราชมังคลากีฬาสถาน พอโดนทีมเสือเหลืองตีเสมอ 2-2 ทำให้ช้างศึกตัวนี้ต้องเดินหน้าเข้าใส่คู่แข่งเพราะอเวย์โกล แต่กลายเป็นว่าทำอะไรเขาไม่ได้เลย ไม่ได้ลุ้นกดดันมาเลเซียเลยด้วยซ้ำ และดันมีความโชคร้ายในความโชคดี แม้จะได้จุดโทษนาทีสุดท้ายดันยิงไม่เข้าเสียอย่างนั้น
ภาพตัดกลับมาที่ศึกเอเชียน คัพ 2019 เมื่อค่ำคืนวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา แม้ในครึ่งเวลาแรก ทีมชาติไทย จะดูดีกว่าอินเดียเล็กน้อย แต่หากเปิดสถิติดูแล้ว "ช้างศึก" ดูดีกว่าคู่แข่งแค่การครองบอล แต่แทบจะไม่มีโอกาสเซ็ตเกมเข้าไปทำประตูเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่มาได้ลูกฟรีคิกระยะทำการของธีราทร บุญมาทัน ที่เปิดไปให้ ธีรศิลป์ แดงดา โหม่งตีเสมอแบบสุดสวย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะลุ้นประตูได้จากจังหวะไหน ลำพังจะให้มาลุ้นประตูเอาแต่ตอนลูกตั้งเตะ ก็ใช่ว่าจะได้ตั้งเตะกันง่ายๆซะที่ไหน
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น "ราเยวัช" เน้นเกมรับ อัดแท็คติกการป้องกันประตูให้นักเตะมากจนเกินไป ถามว่ามากขนาดไหน? มากพอจนทำให้นักเตะทีมชาติไทยในยุคนี้ "ลืม" การเซ็ตเกมบุกเพื่อทำประตูคู่แข่ง ไม่เชื่อก็ลองมองย้อนกลับไปดูตอนซูซูกิ คัพ เมื่อปลายปีที่แล้ว ไทย ได้ประตูจากจังหวะโอเพ่นเพลย์กี่ประตู และได้ประตูจากจังหวะลูกตั้งเตะกี่ประตู นั่นแหละคือคำตอบ
ไหนจะแท็คติกการแก้เกมที่หลายคนต้องอุทานออกมาว่า "คิดได้ไง" เห็นชัดเจนจากเกมพ่ายอินเดียที่ผ่านมา เอาเพลย์เมคเกอร์ตัวทำเกมที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในเกมรุกของไทย อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ออก และส่ง "ปีโป้" สิโรจน์ ฉัตรทอง ที่ตอนแรกนึกว่าจะเอาไปยืนศูนย์หน้าช่วยงาน ธีรศิลป์ แดงดา แต่กลับส่งไปยืนมิดฟิลด์ตัวรับ ทั้งๆที่ทีมกำลังต้องการประตู
การที่ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ไม่รีรอที่จะ "ปลด" มิโลวาน ราเยวัช กลางอากาศเช่นนี้ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่หากมองลงไปลึกๆแล้วมันอาจเป็นเรื่องดีจริงๆก็ได้
มีเสียงกระซิบกระซาบกันวงในจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ระบุ นักฟุตบอลในชุดนี้หลายๆคนก็เซย์โนส่ายหัวไม่เอา ราเยวัช เหมือนกัน กับการที่เขาจะต้องมาอดทนเล่นแท็คติกเกมรับอยู่ตลอดเวลาภายใต้การคุมทีมของกุนซือใหญ่รายนี้ มันไม่ใช่แนวทางของนักฟุตบอลหลายๆที่เคยซ้อมเคยเล่นกันมา
หลายคนอาจจะบอกว่าการปลดแม่ทัพกลางทัวร์นาเมนต์สำคัญแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับทีมเพราะเหล่าทหารอาจจะเคว้งคว้าง แต่การปลดแม่ทัพของ "ช้างศึก" ครั้งนี้ อาจไม่เหมือนครั้งอื่น และเหล่าทหารอาจจะ "ดีใจ" ไปด้วยก็ได้
หลังจากนี้ทีมชาติไทยยังเหลือโปรแกรมใน "เอเชียน คัพ 2019" อีก 2 นัด ภายใต้การกุมบังเหียนขัดตาทัพของ 2 ยอดโค้ชชาวไทย อย่าง "โค้ชโต่ย" ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย รวมไปถึง "โค้ชโชค" โชคทวี พรหมรัตน์ เราอาจได้เห็นอะไรดีๆเกิดขึ้นกันก็ได้...
by.RNP