เอเยนซี - ความยิ่งใหญ่สุดท้ายบนเวทียุโรปของสโมสร อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม แห่งชาติมหาอำนาจลูกหนังอย่างฮอลแลนด์ ยังคงอยู่ในความทรงจำของหลายคนในช่วงกลางทศวรรษ 90 ซึ่งก้าวไปถึงถ้วยแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 1994-95 ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมาก็ยังไม่ใกล้เคียงอีกเลย
นัดชิงเมื่อปี 1995 อาแจ๊กซ์ เฉือนชนะ เอซี มิลาน 1-0 ซึ่งหากจะให้ไล่ชื่อนักเตะชุดนั้นทุกคนจะต้องร้องอ๋อแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์, มิเชล ไรซีเกอร์, พี่น้องเดอ บัวร์, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, เอ็ดการ์ ดาวิดส์, ยารี่ ลิตมาเน่น, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส, แพทริค ไคลเวิร์ต, เอ็นวานโก คานู และ วินส์ตัน โบการ์เด้
ตอนนั้นถือว่าเป็นปรากฎการณ์ก็ว่าได้ เพราะ อาแจ๊กซ์ ภายใต้การคุมทัพของ หลุยส์ ฟาน กัล ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ยุโรปครั้งแรกรอบ 22 ปีและเป็นสมัยที่ 4 ต่อจากปี 1971, 1972 และ 1973 ดังนั้นแข้งชุดนั้นจึงถูกสโมสรดังของยุโรปทยอยดูดไปร่วมทัพไม่ว่าจะเป็น คานู ย้ายสู่ อินเตอร์ มิลาน ปี 1996, ไคลเวิร์ต ย้ายสู่ เอซี มิลาน ปี 1997, ฟาน เดอร์ ซาร์ ย้ายสู่ ยูเวนตุส ปี 1999, พี่น้องเดอ บัวร์ ย้ายสู่ บาร์เซโลน่า พร้อมกันปี 1999, ดาวิดส์ ย้ายสู่ เอซี มิลาน ปี 1996 ฯลฯ ส่วน ไรจ์การ์ด แขวนสตั๊ดปี 1995 และ แดนนี บลินด์ เลิกเล่นปี 1999
เมื่อสตาร์ดังพาเหรดกันออก อาแจ๊กซ์ ก็ก้าวสู่ยุคล่มสลาย เพราะแม้ปี 1996 จะเข้าชิงอีกครั้งแต่แพ้จุดโทษ ยูเวนตุส 2-4 ต่อเวลาพิเศษเสมอ 1-1 โดยประสบความสำเร็จแค่เพียงถ้วยในประเทศเท่านั้น ครั้นได้กลับมาเล่นถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ว่าก็ไม่ได้สร้างความน่าประหวั่นพรั่นพรึงแก่คู่ต่อสู้แต่อย่างใด
จนกระทั่งฤดูกาลนี้ที่ อาแจ๊กซ์ กลับมาทำผลงานได้ดีบนเวทียุโรป โดยคืนวันพุธที่ 12 ธันวาคมนี้มีโปรแกรมเปิดรัง โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า รับการมาเยือนของ บาเยิร์น มิวนิค โดยมีตำแหน่งแชมป์กลุ่ม อี เป็นเดิมพัน เนื่องจากทั้งคู่ตีตั๋วรอบน็อกเอาท์แน่นอนแล้ว นัดแรกยอดทีมดัตช์สามารถบุกยันเสมอ "เสือใต้" 1-1
ทุกอย่างต้องใช้เวลาบ่มเพาะ อาแจ๊กซ์ ก็ต้องใช้เวลาหล่อหลอม หลายสโมสรล้วนเคยเผชิญกับช่วงแบบนี้ โดยแข้งเลือดใหม่เหล่านี้ก็ขึ้นมาจากแคมป์เยาวชนอันเลื่องชื่อที่ผุดแข้งพรสวรรค์ขึ้นมาประดับวงการมากมาย ซึ่งที่แห่งนี้ล้วนมีศักยภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า "ลา มาเซีย" ของ บาร์เซโลน่า หรือ “แคลร์ฟองแต็ง” ของฝรั่งเศส
แกนหลักของ อาแจ๊กซ์ ยุคนี้ล้วนวัยกำลังห้าวไม่ว่าจะเป็น แฟรงกี้ เดอ ยอง กองกลางวัย 21 ปีที่เป็นเป้าหมายของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ บาร์เซโลนา ซึ่งราคาค่าตัวนั้นได้รับการประเมินว่าจะสูงถึง 60 ล้านยูโร รวมถึง มัทไธจ์ส เด ลิกต์ กองหลังวัย 19 ปีเจ้าของค่าตัว 100 ล้านยูโรถ้า บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค หรือ ยูเวนตุส อยากได้ก็ต้องยอมจ่าย ที่เหลือก็มี แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก กองหน้าวัย 21 ปี, ดาวิด เนเรส กองหน้าวัย 21 ปี และ อ็องเดร โอนาน่า ผู้รักษาประตูวัย 22 ปี
ฟาน เดอ ซาร์ ตำนานนายด่านของทีมที่แขวนถุงมือพร้อมก้าวมานั่งตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปกล่าวว่า "ความมุ่งมั่นของ อาแจ๊กซ์ คือเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายถ้วยยุโรป แต่แน่นอนกว่าจะทำเช่นนั้นได้เราต้องมีงบประมาณ ดังนั้นเราจึงมองหาการลงทุนที่ดี ไม่ว่จะขายสนาม สร้างกำไรจากทั่วโลก แต่ต้องคงไว้ซึ่งปรัชญาพัฒนาทีมควบคู่ไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นและมีทีมที่ดีก็มั่นใจว่าสักวันจะก้าวกระโดดใน แชมเปี้ยนส์ ลีก"
ขณะที่ เนเธอร์แลนด์ส ก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้เข้าสู่ยุคมืด เพราะหลังจากเข้าชิง เวิลด์ คัพ 2010 ตามด้วยอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2014 แต่กลับไม่ได้ไปเล่น ยูโร 2016 ตามด้วยบอลโลก 2018 แข้งแกนหลักอย่าง เวสลี่ย์ สไนเดอร์, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และ อาร์เยน ร็อบเบน ก็ทยอยอำลากันไปจนหมด แน่นอนสโมสรกับทีมชาติก็ต้องเกื้อหนุนกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น "อัศวินสีส้ม" ก็กลับมาทำผลงานได้ดีพอๆ กับ อาแจ๊กซ์ คือเข้ารอบตัดเชือก "ยูฟ่า เนชันส์ ลีก"
แน่นอนว่า อาแจ๊กซ์ เคยมีประสบการณ์มาแล้วจากปี 1995 ที่เสียนักเตะจนเกลี้ยง ดังนั้นยุค 2018 ก็อย่าให้ซ้ำรอย เช่นซัมเมอร์ที่แล้วก็ขาย จัสติน ไคลเวิร์ต กองหน้าดาวรุ่งให้ โรม่า มาแล้วคนหนึ่ง เพราะหากเป็นเช่นนั้นอีกการจะลืมตาอ้าปากให้ได้อีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งยุคนี้สโมสรแถวหน้าของยุโรปล้วนสร้างขึ้นด้วยเม็ดเงินมหาศาลจากฝั่งตะวันออก ดังนั้นยอดทีมดัตช์ก็ต้องใช้จุดแข็งคือแข้งดาวรุ่งของตนเองผลักดันทีมขึ้นมาให้ได้