ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 - กลายเป็นตำนานไปแล้วสำหรับสนามแข่งม้าที่เรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย อย่าง ราชตฤณมัยสมาคมฯ หรือ “สนามม้านางเลิ้ง” ที่มีประวัติยาวนานร่วม 100 ปี โดยเป็นการคืนที่ดินให้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หลังครบอายุสัญญาเช่ามาได้สักพัก
“สนามม้านางเลิ้ง” เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระยาประดิพัทธภูบาลและพระยาอรรถการประสิทธิ์ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระบรมราชานุญาตตั้งสโมสรสนามม้า “สนามไทย” แข่งเพื่อให้บริการแข่งม้าสำหรับคนไทยและนำรายได้มาใช้บำรุงพันธุ์ม้าจากประเทศออสเตรเลียและอังกฤษ ทรงมีพระบรมราชานุญาตพร้อมทั้งได้พระราชทาน นามว่า “ราชตฤณมัยสมาคมแห่งกรุงสยาม” อีกทั้ง ทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2459 และพระราชทานนามว่า ราชตฤณมัยสมาคม รวมไปถึงยังทรงส่งม้าในคอกของพระองค์เข้าร่วมแข่งอีกด้วย
ตั้งแต่นั้นเรื่อยมาสนามม้านางเลิ้งก็อยู่คู่กับคนไทย ซึ่งก่อนปิดตัวมีการจัดการแข่งขันทุกวันอาทิตย์เว้นอาทิตย์ คือใน 1 เดือนจะมีจัดการแข่งขันสัปดาห์เว้นสัปดาห์สลับกับสนามม้าที่ราชกรีฑาสโมสร หรือคนในวงการม้าแข่งมักเรียกกันว่า “สนามฝรั่ง” อย่างไรก็ตาม กาลเวลาหมุนเวียนไป ทุกอย่างก็ต้องมีสิ้นสุดลง ไม่เว้นแม้กระทั่งสนามม้าแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม หากว่ากันตามจริง “ม้าแข่ง” แม้จะเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากในต่างประเทศโดยเฉพาะในอังกฤษ, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา แต่ในประเทศไทยไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรเนื่องจากการแข่งม้ายังอิงโดยตรงกับ “การพนัน” แน่นอนว่า ขัดต่อหลักกฎหมายบ้านเมืองเรา สำหรับประเทศไทย การแข่งม้าและการพนันแข่งม้า แม้ว่าจะมีลักษณะผูกขาดคล้ายๆ กับสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่เข้าถึงได้ยากกว่า อัตราการเสียภาษีของการจัดแข่งม้าค่อนข้างสูงและซํ้าซ้อน มีกรอบกฎหมายที่กำหนดให้ปฏิบัติที่เข้มงวดกว่า และเปิดช่องให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายโดยกลุ่มผู้มีอำนาจวงในที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจฟาร์มม้าแข่ง
และเมื่อสนามม้านางเลิ้ง หรือ ราชตฤณมัยสมาคมฯ ต้องเลือนหายจากไป ย่อมส่งผลกระทบต่อหลายๆฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของคอกม้า เจ้าของฟาร์มม้า เจ้าของม้า รวมถึงผู้ที่ชอบเข้าสนามม้าเพื่อลุ้น หรือแทงพนันม้า ย่อมเสียผลประโยชน์และเสียหายไม่ใช่น้อย
ทั้งนี้ เราได้มีโอกาสพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนในวงการม้าแข่ง อย่าง อุเทน ชาติภิญโญ นักการเมืองชื่อดัง ผู้ที่ผูกพันกับวงการนี้ และผูกพันกับสนามม้านางเลิ้งมาอย่างยาวนาน
- ความผูกพันของสนามม้านางเลิ้งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
“ตามจริงถ้าว่ากันในเรื่องของความผูกพัน ผมก็ไม่อยากจะผูกพันเท่าไหร่เพราะถูกมองว่ามันคือสถานที่อโคจร ทั้งๆที่ในต่างประเทศวงการม้าแข่งถือว่าเป็นเกมการกีฬาที่ได้รับเกียรติสูงสุดสาขาหนึ่ง มีเงินรางวัลที่มากมายพอสมควรไม่แตกต่างจากกีฬาอื่นๆ อย่าง กอล์ฟ หรือเทนนิส เพียงแต่ว่าบ้านเราวงการอาชาเป็นวงการที่ถูกสาปแช่ง และเป็นวงการที่อาภัพ ทั้งๆ ที่เป็นวงการที่เกิดขึ้นมาโดยพระราชา หากนั่งไล่ช่วงเวลากันตามจริงก็ต้องย้อนไปเมื่อสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ที่ได้มอบที่ดิน รวมถึงรัชกาลที่ 6 ที่ทำให้เกิดสนามม้าแห่งนี้”
“ก็น่าเสียดายที่บ้านเราไม่มีกฎหมายรองรับ มีแต่การเรียกเก็บภาษีที่เยอะมากและเอาเปรียบผู้ที่อยู่ในวงการนี้จนพวกเขานั้นอยู่กันลำบาก รวมไปถึงการบริหารในหลายๆ ยุคหลายๆ สมัยที่แตกต่างกันออกไปจนดูมีความพิสดารหรือไม่ปกติ ทำให้สนามม้านางเลิ้งถึงกาลอวสานในที่สุด นี่แหละกว่า 100 ปีเศษ ที่ราชตฤณมัยสมาคมฯ ก่อกำเนิดขึ้นมา ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เคยได้รับเกียรติอย่างสูงจากพระมหากษัตริย์ของเราหลายพระองค์ที่เสด็จมาในหลายๆ วาระ เพื่อจะพระราชทานถ้วยม้าแข่ง อย่าง ถ้วยดาร์บี้ ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคนไทย หรือจะเป็นถ้วยคิงส์คัพ, ควีนส์คัพ ที่พระองค์มักจะเสด็จมาด้วยพระองค์เอง นี่แหละคือความผูกพันของสนามม้านางเลิ้งกับประเทศไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงตัวผมเองก็ผูกพันกับสนามม้าแห่งนี้มาเกือบๆ 40 ปี ก็รู้สึกใจหายไม่น้อย”
- ควรเพิ่มกฎหมายให้จริงจังกับวงการม้าแข่ง
“ในส่วนของผมในฐานะที่เป็นเจ้าของคอก เจ้าของม้า แม้ผมจะเป็นนักการเมืองแต่ผมก็เป็นนักการเมืองที่รักในตัวม้าอยู่กับมันมาเกือบๆ 40 ปี ณ วันนี้หลายๆ ฝ่ายต้องพยายามปรับแนวคิดให้เข้าใจกันเสียใหม่ว่าวงการอาชาไม่ได้เป็นแหล่งมั่วสุมกันอย่างที่เข้าใจ เพราะฉะนั้นควรมีการขยายกฎเกณฑ์ต่างๆเพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใน ซึ่งถ้ามีกฎหมายมารองรับจุดนี้คนก็คงไม่กล้ากระทำผิด เช่น การโด๊ปม้า, การปรับแต่งม้า ต้องมีบทลงโทษ ซึ่งถ้ามีบทลงโทษอย่างชัดเจนมันก็จะกลายเป็นกีฬาที่ได้รับความยอมรับและเชื่อถือมากกว่าเดิม กีฬามวย, ชนไก่, ปลากัด เดิมพันกันทีเป็นสิบๆ ล้าน ยังไม่รวมสนุกเกอร์ ที่แอบเปิดพนันกันเป็นหย่อมๆ อีก แต่คนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แน่นอนสำหรับม้าแข่งถ้าจะทำให้เป็นประโยชน์จริงๆ ก็ควรมีการลงโทษเอาผิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และผลัดกันมันให้เป็นกีฬาจริงๆ ในประเทศเสียที”
นอกจากนี้ “เฮียเต๋า” สุเนตร บุรกสิกร หรือหลายๆ คนในวงการมักเรียกกันติดปากว่า “เต๋าคลอง 15” ซึ่งเป็นเจ้าของคอกม้า “นพเก้า” ที่ถือว่าเป็นลูกหลานของหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสนามม้านางเลิ้งแห่งนี้มาตั้งแต่ยุคคุณพ่อ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจากไปของสนามม้าแห่งนี้ รวมถึงความเสียหายต่างๆที่คนในวงการม้าแข่งจะได้รับ
- ผลกระทบต่อวงการม้าแข่งในประเทศไทย
“ปัจจุบันผมมีคอกม้าเป็นของตัวเอง ผมมาเล่นม้า นำม้ามาแข่ง เลี้ยงคนงานร่วม 100 คน เราให้ความสำคัญของม้ามาโดยตลอด คอกม้าของผมในปีที่แล้วก็มีม้าที่ได้แชมป์ประเทศไทยมาครองมากที่สุด ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่น่าเสียใจที่จะไม่มีสนามม้าแห่งนี้อีกต่อไป”
“ก่อนหน้านี้ ผมได้มีโอกาสไปศึกษาในต่างประเทศ ผมรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับวงการม้าแข่ง ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษ กีฬาแข่งม้าถือเป็นกีฬายอดนิยมเป็นอันดับ 2 รองจากฟุตบอล สนามม้ามีอยุ่เกือบทุกเมือง คนเลี้ยงม้าคือคนที่มีอันจะกิน และเขาให้ความสำคัญกับการแข่งม้ามากๆ ใจจริงผมอยากให้ประเทศไทยมองเรื่องกีฬาแข่งม้าให้เปลี่ยนไปจากเดิม เรื่องที่ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าสนามม้าอันนี้ผมเห็นด้วย แต่สิ่งที่เราต้องทำเราควรให้คุณค่าว่ากีฬาแข่งม้ามันอยู่คู่กับประเทศไทยมายาวนานกว่า 100 ปี และไม่ควรให้มันล้มหายตายจากไป ซึ่งถ้าจะเลิกจริงๆผมก็ยินดีและพร้อมจะปรับตัว แต่คอกม้านพเก้าของผมก็คงต้องมีคนงานที่ตกงานไม่ต่ำกว่า 40-50 ครอบครัว”
“ผมไม่จำเป็นต้องเลี้ยงพวกเขาก็ได้ถ้าไม่มีม้าแข่ง เพราะธุรกิจอื่นผมก็มี แต่ปัจจุบันที่คนงานเหล่านั้นอยู่กันได้ก็เพราะผมชอบม้า และผมเลี้ยงม้าในคอกอยู่ประมาณ 60-70 ตัว ก็มีคนกลุ่มนี้มาดูแลม้าให้เรา ในเมื่อเรารับผิดชอบชีวิตของพวกเขาแล้ว ผมก็อยากจะรับผิดชอบต่อไป”
“ขอยกตัวอย่าง ไก่ชน เปิดแข่งกันหนักกว่าม้าอีก มีเงินหมุนเวียนแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท คนยังยอมรับ หรือมวยไทย ทุกวันนี้ในสนามมวยก็รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นการพนันอยู่แล้ว คนก็ยังยอมรับ รวมถึงฟุตบอลเองแม้จะไม่ได้พนันกันแบบโจ๋งครึ่ม แต่ก็มีการพนันกันอยู่ดี แต่คนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนม้าแข่งมีการเสียภาษีถูกต้องทุกอย่าง แต่ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่ได้มีการเข้ามาสนับสนุนวงการนี้เท่าที่ควรทั้งๆที่ผมก็เคยไปคุยกับผู้ใหญ่ในวงการหลายๆคนแล้ว แต่เรื่องก็เหมือนเดิม นี่ยังไม่นับ วัวชน ที่ปักษ์ใต้อีกนะ อันนั้นเขาก็เล่นกันหนักกว่าม้าอีก”
- เม็ดเงินที่หมุนเวียนในวงการม้าแข่ง และผลกระทบเมื่อไม่มีสนามม้า
“ม้าแข่งต่อหนึ่งตัว จะต้องใช้เงิน 16,000-20,000 บาท ที่จะนำเข้ามาแข่งในสนามได้ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นค่าจ๊อกกี้ (ผู้บังคับม้า) ราวๆ 6,000 บาท ค่าเทรนเนอร์ ค่าอาหาร ก็รวมๆ แล้วเกือบ 20,000 บาท ไหนจะคนที่ทำอาชีพตอกเกือกม้า หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Blacksmith ที่ต้องมาเดือดร้อนเพราะการที่สนามม้าจะต้องหายไปอีก ไม่เว้นแม้กระทั่งสัตวแพทย์ที่ผมจ้างดูแลม้าโดยเฉพาะอีก ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆมันคืออุตสาหกรรมขนาดย่อมของประเทศไทยได้เลย”
“ต่างประเทศม้าแข่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่มาก ลูกม้า 1 ตัว ต่างประเทศเขาซื้อกัน 40-50 ล้านบาทถ้าสายพันธุ์ดีๆหน่อย แต่ประเทศไทยเราซื้อม้ากันถ้าเป็นเมื่อก่อนตกตัวละ 600,000 บาท แต่สมัยนี้สนามม้าเริ่มรับไม่ไหว ก็ตกเหลือตัวละ 250,000-300,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ถ้ากรมปศุสัตว์มองเจาะลึกลงมาดีๆ เราสามารถผลิตม้าสายพันธุ์ดีๆขายส่งออกได้ถึงตัวละ 1 ล้านบาท อายุการเลี้ยงน้อยกว่าวัวด้วยซ้ำ ต่างประเทศเขาซื้อกันตั้งแต่เริ่มผสมพันธุ์”
“มาเลเซีย, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น มักจะสั่งม้าไปเลี้ยง หรือไปแข่งขันในประเทศอยู่ตลอดจากประเทศที่ผลิตม้าได้เยอะๆ อย่าง ออสเตรเลีย, อังกฤษ หรือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมองตามภูมิประเทศของไทยแล้วเราพอจะผลิตม้าสู้ได้อยู่แล้วเพราะม้าไม่ใช่สัตว์เมืองหนาว ม้าเป็นสัตว์เลือดอุ่นเหมือนคน อยู่ที่การดูแลของเราว่าจะทำได้ดีแค่ไหน”
- ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรเพิ่มวันให้กับม้าแข่ง
“ตอนนี้เท่าที่คุยๆ มา เขาจะให้ย้ายไปร่วมกับราชกรีฑาสโมสร หรือสนามฝรั่ง ซึ่งปกติเขาก็มีแข่งอยู่แล้วสัปดาห์เว้นสัปดาห์ คือจะให้เราไปแทรกโปรแกรมเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ผมกำลังคุยอยู่ อยากให้ม้าแข่งนั้นมีมากกว่าแค่สัปดาห์ละวัน เราสามารถเพิ่มไปได้เลยเป็นสัปดาห์ละ 2 วัน เสาร์-อาทิตย์ จะสลับกันอย่างไรก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่ผู้ใหญ่ว่าจะคิดเห็นอย่างไร เพราะถ้าเป็นแบบนั้นวงการม้าแข่งในบ้านเราก็คงอยู่ได้ยืนยาวต่อไปอีก แต่ถ้ายังคงเป็นสัปดาห์เว้นสัปดาห์เหมือนเดิม ม้าแข่งในไทยก็อาจจะต้องสูญหายจากไปจริงๆ ก็ได้”
จริงๆ ลองมานั่งคิดทบทวนดูจากที่ทั้ง 2 กูรูแห่งวงการม้าแข่งกล่าวมาข้างต้นก็ถูกต้องแทบทั้งหมด เราสามารถผลักดันวงการม้าแข่งให้เป็นกีฬาที่ถูกต้องได้ตามหลักสากล ถ้าเราไม่ปิดหูปิดตากันมากจนเกินไป กีฬาทุกประเภทล้วนแล้วแต่มีการพนันมาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งกีฬาสากลอย่าง ฟุตบอล, บาสเกตบอล, เทนนิส, แบดมินตัน ฯลฯ ก็มีวงการพนันมาเกี่ยวข้องด้วยกันทั้งนั้น
หลังจากนี้ เมื่อไม่มีซึ่งสนามม้านางเลิ้ง ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของคอกม้า, เจ้าของฟาร์มเลี้ยงม้า, พนักงานดูแลม้า ฯลฯ ก็คงต้องตกงาน ทำไมเราไม่หันมาดูแลและใส่ใจกับคนในวงการนี้ให้มากขึ้น เพราะถ้าตัดเรื่องของการพนันออกไป “ม้าแข่ง” เป็นวงการที่ได้รับเกียรติอย่างสูงจากพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงได้รับการยอมรับจากต่างประเทศเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมาก และเราสามารถสร้างรายได้จากวงการนี้ได้อีกนับไม่ถ้วน...