ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 - ลีกลูกหนังสูงสุดแดนสยามกำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2018 ทุกสายตาต่างโฟกัสไปในโซนหนีตกชั้นที่กำลังคับเคี่ยวกันอย่างสนุก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือทีมจาก "เหล่าทัพ" ทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในโซนสีแดงกันทั้งนั้น
"อินทรีทัฟฟ้า" แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี หรือทีมทหารอากาศ เป็นทีมแรกที่ต้องตกไปเล่นใน T2 อีกครั้งในฤดูกาลหน้า หลังจากพวกเขาออกสตาร์ทไม่ดี แม้ฟอร์มในเลกสองจะกระเตื้องขึ้นมาบ้างแต่สุดท้ายก็ไม่รอดทั้งที่ "โค้ชเตี้ย" สะสม พบประเสริฐ เพิ่งจะพาทีมคัมแบ็คกลับมาโลดแล่นในลีกสูงสุดของไทยอีกครั้งเมื่อช่วงต้นปี
อีกหนึ่งทีมที่กำลังจะตามไปติดๆ ได้แก่ "ตะหานน้ำ" ราชนาวี เอฟซี หรือทีมทหารเรือ แม้ในทางทฤษฎีพวกเขาจะยังพอลุ้นได้บ้าง เพราะมีแต้มห่างจากโซนปลอดภัย 10 แต้ม แต่เหลือการแข่งขันอีก 5 นัด ความหวังคงริบหรี่ ซึ่งจะทำให้พวกเขากลายเป็นทีมเหล่าทัพทีมที่สองที่จะต้องตกชั้นตามทหารอากาศลงไป รวมไปถึง "มังกรโล่เงิน" โปลิศ เทโร เอฟซี ที่แม้จะมีโอกาสหนีตายมากที่สุดในทีมเหล่าทัพ เพราะมีถึง 33 คะแนน ห่างจากโซนปลอดภัยแค่ 2 แต้ม และโปรแกรมนัดที่เหลือก็ไม่ได้ยากอะไรมากมาย แต่ก็สุ่มเสี่ยงจากการร่วงลงไปเล่นในลีกพระรองเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าเราอาจจะได้เห็น "ดาร์บี้แมตช์เหล่าทัพ" ที่ตกไปเล่นในในลีก T2 ของไทยก็เป็นได้
คำถามในตอนนี้ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ทีมจาก "เหล่าทัพ" ไปไม่ถึงฝั่งฝันในช่วงหลังๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ในฤดูกาลนี้ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทีมจากเหล่าทัพมักจะต้องมาดิ้นรนหนีตายอยู่บ่อยๆ ทีมทหารบก อย่าง อาร์มี ยูไนเต็ด ก็ร่วงลงไปรอใน T2 แล้วตั้งแต่ปีก่อนๆ การบริหารของทีมเหล่านี้นั้นเป็นอย่างไร ทำไมถึงสู้บรรดายักษ์ใหญ่ หรือทีมจังหวัดบางสโมสรไม่ได้เสียที และต้องมาดิ้นรนหนีตกชั้นเป็นประจำแทบทุกปี
เรื่องนี้เราได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับ "บิ๊กช้าง" พล.อ.ท. ณพล ฤาไชยคาม ผู้จัดการทีมแอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี หนึ่งในทีมที่จองตั๋วลงไปเล่นในลีกพระรองแบบ 100 เปอร์เซนต์ในฤดูกาลหน้า ถึงแนวทางการทำทีม รวมไปถึงหลากปัจจัยที่อาจจะส่งผลกระทบให้ทีมจากเหล่าทัพมักจะเสียเปรียบเมื่อต้องต่อกรกับอีกหลายๆทีม
- การทำทีมบางครั้งยังเป็นระบบกึ่งเอกชนกึ่งราชการ
"ถึงแม้ช่วงหลังสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จะมีการจัดระเบียบสโมสรต่างๆขึ้นด้วยข้อกำหนดอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่ต้องเป็นตัวบริษัทในการบริหารทีมอย่างจริงๆจังๆ แต่ข้อกำหนดดังกล่าวมันก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้แบบ 100% กับบางสโมสร จริงๆไม่ใช่เฉพาะแค่ทีมจากเหล่าทัพ หรือจากราชการ ทีมอื่นๆก็เช่นเดียวกัน แต่จริงๆ แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี ถือว่าได้เปรียบทีมจากเหล่าทัพอื่นนะ เพราะเราจับมือกับ บริษัท เซ็นทรัลฯ ที่เข้ามาช่วยดูแลอะไรหลายๆอย่างภายในทีมให้เป็นมืออาชีพ แต่ในบางเรื่องเราก็คงมีการบริหารทีมแบบราชการหรือแบบเดิมกันอยู่บ้าง แต่ถือว่าลดลงไปเยอะ ที่สำคัญเรื่องเงินเดือนนักฟุตบอลเราไม่เคยค้างจ่ายเลย เราจ่ายตรง จ่ายครบ นักฟุตบอลรับประกันได้ว่าทุกคนที่เซ็นสัญญาเป็นนักเตะของเราจะไม่มีปัญหาเรื่องนี้อย่างแน่นอน นี่คือข้อดีของการบริหารงานแบบราชการ ซึ่งทางเอกชนอย่างเซ็นทรัลเอง ก็เข้ามาดูแลเรื่องจิปาถะ รายละเอียดปลีกย่อยเพื่อให้ทีมเป็นทีมอาชีพอย่างเต็มตัว"
- ปัจจัยที่ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของทีม เกี่ยวกับการบริหารทีมมากน้อยแค่ไหน ?
"เรื่องฟอร์มการเล่นของทีม จุดนี้ผมมองว่าเราวางแผนผิดพลาดกันมากกว่าตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาล ผมมองไปที่ตัวนักฟุตบอลต่างชาติที่เราเซ็นสัญญาเข้ามานั้นไม่ตอบโจทย์ บางคนมีปัญหาอาการบาดเจ็บติดตัวมาตั้งแต่ทีมเก่า บางคนไม่ตั้งใจเล่น หรือบางคนไม่มีแรงจูงใจที่มากพอ สังเกตได้ว่าช่วงแรกฟอร์มเรานั้นกู่ไม่กลับเลย แพ้รวดเป็นว่าเล่น จริงๆผมเห็นใจ โค้ชเตี้ย (สะสม พบประเสริฐ) นะ เขาพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็เป็นอย่างที่เห็น สุดท้ายเราพยายามยื้อเขาไว้ แต่สุดท้ายเราก็หักห้ามอะไรเขาไม่ได้ เมื่อเขาตั้งใจจะแสดงสปิริตเราก็ต้องปล่อยเขาไป แต่ช่วงรอยต่อระหว่างเลกหนึ่งกับเลกสอง เรามีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นในทีมเยอะมาก ตัวต่างชาตินี่เรียกได้ว่าโละใหม่หมด มันก็ส่งผลถึงฟอร์มการเล่นในเลกสองที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เพราะอะไรหรอ เพราะนักเตะหลายๆคน เด็กหลายๆคนตั้งใจลงไปเล่น เขาตั้งใจกันมากกว่าในเลกแรก บางคนนี่หน้ามือเป็นหลังมือเลยนะระหว่างฟอร์มในเลกแรกกับเลกสอง ต้องของชื่นชม เจสัน บราวน์ เฮดโค้ชคนปัจจุบันด้วย ที่รวบรวมจิตใจของนักฟุตบอลให้กลับคืนมาได้"
- นักฟุตบอลในทีมจะได้รับการติดยศหรือไม่ ?
"จริงๆเรื่องนักฟุตบอลมันก็พูดยาก การที่เราเซ็นสัญญานักเตะมาในทีม เราไม่สามารถจะไปรู้ได้หรอกว่าเขาจะเล่นหรือจะโชว์ฟอร์มได้ดีแค่ไหน หลายคนอาจจะสงสัยเรื่องการติดยศต่างๆนาๆ เมื่อมาเล่นให้ทีมเหล่าทัพจะต้องได้ยศอะไรหรือไม่ จริงๆไม่เกี่ยวนะ ทีมอื่นผมไม่รู้นะ และไม่อยากไปยกมาเกี่ยวข้อง แต่ของเราแอร์ฟอร์ซ แม้ผู้บริหารหลายๆคน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายๆคนคือทหารอากาศ แต่เราไม่มีนโยบายในการติดยศให้นักฟุตบอลอาชีพแต่อย่างใด ทุกคนเซ็นสัญญากับเราเพื่อมาเป็นนักฟุตบอล แต่ไม่ได้การันตีว่าพวกเขาเมื่อเซ็นสัญญาแล้วจะต้องได้ยศไปประดับ ผมว่ามันไม่ถูกต้องตามหลักการของฟุตบอลอาชีพ เด็กที่เราเซ็นมาร่วมทีมจะปฏิบัติแบบทหารอย่างเดียวก็คือการใช้ชีวิตเมื่อเข้ามาสู่แคมป์ฝึกซ้อมที่ทุกคนจะต้องมีระเบียบวินัยเหมือนกับทหาร ตรงนี้เราปลูกฝังพวกเขาได้เพราะพวกเขาคือนักเตะของเรา หลายคนอาจไปเจอสังคมต่างๆนาๆกับสโมสรเก่าๆของพวกเขา แต่เมื่อพวกเขามาเป็นนักเตะของแอร์ฟอร์ซ ต้องปฏิบัติตัวเหมือนกันหมด ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษเหนือคนอื่นแต่อย่างใด แต่ก็มีนะนักฟุตบอลที่เป็นทหารอยู่แล้ว เมื่อเขาโชว์ฟอร์มได้ดีจริงๆ และทีมสต๊าฟฟ์โค้ชเห็นว่าดีพอที่จะมาเล่นในทีมชุดใหญ่ เราก็ดึงเขาขึ้นมาเล่น ตรงนี้ก็ไม่เกี่ยวว่าเขาได้ติดยศ เพราะก่อนหน้านี้เขาคือทหารอยู่แล้ว และเรายังมีทีมสำรองที่เล่นในลีกล่างอยู่อีก อันนั้นโอเคยอมรับว่าหลายๆคนคือทหารนั่นแหละ ผสมกับเด็กเยาวชนจากอะคาเดมี่ของเรา"
- ปัญหาจริงๆของทีมจากเหล่าทัพ
"ผมว่าทุกทีมจากวงการนี้มักเป็นเหมือนกันหมดนะ เวลาจะคิดจะตัดสินใจอะไรต้องเข้าประชุมกับบอร์ดบริหารโดยรวม แอร์ฟอร์ซก็เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการจะนำนักฟุตบอลต่างชาติเข้าสู่ทีมมาสักคน เราต้องผ่านหลายขั้นตอนจากหลายคน บางครั้งอาจเป็นการตัดสินใจที่ล่าช้า บางคนสนใจมาเล่นให้ทีมเราแต่มันต้องผ่านองค์ประชุมจากหลายๆคน เราก็ยอมรับว่าบางครั้งยังคงระบบบริหารงานแบบราชการก็อาจจะมีล่าช้าบ้าง กว่าจะผ่านคนนั้นคนนี้ทีบางทีนักฟุตบอลเขาก็ไปได้ทีมต้นสังกัดแล้ว ตรงนี้อาจจะเป็นข้อเสียที่ทำให้การบริหารทีมดูมีข้อด้อยกว่าหลายๆทีม ยกตัวอย่างบางสโมสรไม่ต้องผ่านขั้นตอนอะไรมากมาย ผ่านแค่ตัวเจ้าของทีมปุ๊บ ก็เซ็นเรื่องอนุมัติได้ทันที แต่ของเรานั้นไม่ใช่ การที่จะทำอะไรโดยพลการนั้นเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากนั้นก็คงมีเรื่องของสปอนเซอร์ อาจมีการคุยด้วยยากนิดหน่อยเพราะบางเจ้าอาจเห็นว่าเราเป็นทีมของทหาร จะมีวิธีการบริหารจัดการทีมที่ดีพอหรือไม่ ทำให้ในหลายๆครั้งเรามักจะหาสปอนเซอร์ได้ค่อนข้างยาก ยิ่งเศรษฐกิจในช่วงนี้หลายๆเจ้าคงไม่กล้าเสี่ยงเข้ามาลงทุน มันก็ส่งผลต่อรายรับของเรา และส่งผลต่อการหานักฟุตบอลไทยฝีเท้าดีเข้ามาร่วมทีม ซึ่งค่าเหนื่อยนักเตะไทยทุกวันนี้ถ้าฝีเท้าดีหน่อยก็ไม่ใช่น้อยๆ เราเลยเปลี่ยนมาใช้บริการดาวรุ่งที่ปั้นขึ้นมาเอง บางคนก็ใช้การได้ บางคนก็ต้องรอเวลา ทำให้ทีมมีฟอร์มไม่ค่อยต่อเนื่องอย่างที่ควรจะเป็น"
นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพูดคุยกับ "บิ๊กแมน" ธัญญะ วงศ์นาค ที่ตอนนี้นั่งแท่นเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด ให้กับ "มังกรโล่เงิน" โปลิศ เทโร เอฟซี ซึ่งได้ขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับทีมของเหล่าทัพ ว่า "ทุกวันนี้การบริหารทีมฟุตบอลมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆอยู่แล้ว แต่ตอนก่อนจะเปิดฤดูกาลทีมของเราที่บริหารโดย บีอีซี เทโรฯ เดิม นำโดย ไบรอัน ลินด์เซย์ มาร์คาร์ ได้พบปะพูดคุยกับตัวแทนของฝั่งสโมสรตำรวจเดิม ทำให้ได้มาร่วมงานกันอย่างจริงๆจังๆเพื่อทำทีมฟุตบอล คือเราก็มีทีมอย่าง บีอีซี เทโรฯ ในมืออยู่แล้ว และทางฝั่งตำรวจเขาก็สนใจมาร่วมหุ้นเพื่อลงทุนทำทีมฟุตบอลเหมือนกัน จึงกำเนิดขึ้นเป็นทีม โปลิศ เทโร เอฟซี"
"หลายคนก็คงสงสัยในการบริหารงานต่างๆว่าเป็นอย่างไร จริงๆจะบอกว่าแบ่งเป็น 2 ฝ่ายก็ได้ คือฝ่ายของบีอีซี เทโรฯ กับฝ่ายของตำรวจ แน่นอนว่าเมื่อมี 2 ทีมมาบริหารงานหรือทำงานในองค์กรเดียวกัน เวลาจะทำอะไรต้องปรึกษาหารือกันให้ครบทุกฝ่าย จะตัดสินใจอะไรฝ่ายเดียวเหมือนเมื่อก่อนตอนที่เราทำทีมของเราเองคงไม่ได้ เรื่องบางเรื่องต้องผ่านองค์ประกอบในหลายๆขั้นตอนกว่าจะอนุมัติออกมาได้ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนกันไป"
"ข้อเสียของมันก็คือบางอย่างเราอาจทำงานกันออกมาช้า เพราะมันต้องผ่านเสียงหลายเสียง บางครั้งฝั่งของเราชอบ แต่อีกฝั่งอาจจะไม่ชอบ แต่นี่คือปีแรกของเราที่ได้ทำงานร่วมกันซึ่งตอนนี้ทุกฝ่ายต่างก็ร่วมมือกันดีในเรื่องของการบริหาร ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันดีมาก ไม่ได้มีข้อขัดแย้งอะไรกันเท่าไหร่"
"ในเรื่องของฟอร์มการเล่นผมมองว่าเป็นจังหวะของฟุตบอลมากกว่าในเรื่องของการบริหารทีม ถ้ามองกันจริงๆการตลาดในปีนี้ของเราถือว่าดีมาก แฟนบอลเข้ามาชมเกมในสนามมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะปัจจัยหลายๆอย่างทั้งการทำประชาสัมพันธ์เอง หรือตัวของ อ่องธู ที่ดึงดูดแฟนเมียนมา แต่การที่ฟอร์มการเล่นภายในทีมดูไม่ค่อยดีคงเป็นเพราะการวางแผนที่ผิดพลาดตั้งแต่แรกมากกว่า เมื่อมันผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นแล้วหลายๆอย่างมันก็เริ่มรวนไปหมด กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็ต้องใช้เวลา อย่างเช่นตอนนี้ ธชตวัน ศรีปาน เข้ามาทำทีมร่วมกับ รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค มันเป็นเรื่องดีนะ ถึงแม้ผลการแข่งขันบางเกมอาจไม่เป็นไปตามเป้า แต่เขาเข้ามาทำให้ทีมดูหลากหลายกว่าเดิม"
"เพราะฉะนั้นเหตุที่ทำให้ผลงานของเราออกมาไม่ดี คงไม่เกี่ยวกับการบริหารงานจากทั้งสองฝั่ง เป็นเรื่องของในเกมการแข่งขันมากกว่า อย่างเช่นในเรื่องของสปอนเซอร์ที่เข้ามาเขาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรว่าเป็นทีมของตำรวจเลย ยิ่งรู้ว่าเป็นทีมตำรวจยิ่งเข้าหาด้วยซ้ำ เพราะง่ายต่อการทำประชาสัมพันธ์ จะเห็นได้จากบรรดาสปอนเซอร์ของทีมที่ไม่ได้ลดน้อยลงไปตั้งแต่สมัยยังเป็น บีอีซี เทโรฯ เดี่ยวๆเลย"
อย่างไรก็ตามแม้ทั้งแอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี และโปลิศ เทโร เอฟซี จะผลงานออกมากระท่อนกระแท่น จนฝ่ายแรกกระเด็นตกชั้นไปแน่นอนแล้ว 100 เปอร์เซนต์ ส่วนอีกทีมยังต้องลุ้นกันนัดต่อนัด ผู้บริหารทีมต่างมองว่าเป็นจังหวะของฟุตบอลเสียมากกว่าการบริหารทีมที่หลายฝ่ายมองว่ามีปัญหา เพราะดูแล้ว 2 ทีมนี้ยังโชคดีที่มี "เอกชน" เป็นแกนหลักให้กับทีมอยู่ ถึงแม้ว่าจะตกชั้นลงไปในลีกพระรองก็ยังมีลุ้นที่จะเลื่อนชั้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ตราบใดที่องค์กรจากเอกชนยังคงหนุนหลัง
แต่ทีมที่ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาล และเวลานี้ใกล้จะจองตั๋วลงไปเล่นในลีกพระรองเต็มที อย่าง "ตะหานน้ำ" ราชนาวี เอฟซี พวกเขามีปัญหามาตั้งแต่ฤดูกาลยังไม่เริ่ม ทั้งมีการปลดโค้ช ขายสปอนเซอร์ไม่ค่อยได้ กว่าจะหาผู้สนับสนุนได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น นักฟุตบอลหลายๆคนก็ใช้บริการเหล่าทหารเรือขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ ซึ่งทีมทหารเรือทีมนี้ดูแล้วอาจต้องเจอกับปัญหาหนักกว่าเก่าเมื่อต้องลงไปเล่นในลีกพระรอง เพราะสปอนเซอร์ต่างๆคงหายากยิ่งกว่าโลดแล่นในลีกสูงสุดเสียด้วยซ้ำ
ตราบใดที่ ราชนาวี เอฟซี ยังไม่มีเอกชนเข้ามาหนุนหลังแบบจริงๆจังๆเหมือนกับ 2 ทีมข้างต้น อย่าง แอร์ฟอร์ซฯ และ โปลิศ เทโรฯ คงลำบากที่จะทำทีมฟุตบอลให้ยั่งยืนในระยะยาวได้ ยกตัวอย่าง อาร์มี ยูไนเต็ด ที่ถึงแม้จะยังพอหาสปอนเซอร์เข้ามาหนุนทีมได้ในตอนนี้ แต่พวกเขาร่วงตกชั้นลงไปเล่นใน T2 เป็นฤดูกาลที่ 2 แล้ว และยังไม่มีวี่แววว่าทีมจะกลับมาดีถึงขั้นได้เลื่อนชั้นกลับมาสู่ลีกสูงสุดเลย
สังเกตง่ายๆว่า ทีมจากเหล่าทัพนี้ ถ้าปราศจากซึ่ง "เอกชน" ที่เข้ามาช่วยดูและและหนุนหลัง พวกเขาคงทำทีมกันลำบากเหมือนเดิม เพราะนอกจากจะต้องอิงกับระบบราชการแล้ว ฟุตบอลสมัยนี้ "เงินทุน" ถือเป็นสิ่งสำคัญ ในเมื่อไม่มีเอกชนมาเกื้อหนุน จะเอาเงินที่ไหนมาบริหารทีมให้โลดแล่นได้เหมือนเก่า ลำพังเงินจากตัวสปอนเซอร์ หรือเงินจากการขายตั๋วให้กับแฟนบอลเองก็คงได้ไม่เยอะ ยิ่งช่วยหลังแฟนบอลเข้าสนามกันน้อยลงกว่าเดิมอีก ยิ่งส่งปัญหาให้ทีมเหล่านี้อีก หรือบางทีม อย่าง อาร์มี ยูไนเต็ด แฟนคลับเข้ามาเชียร์กันไม่ค่อยเยอะอยู่แล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
แม้ "อินทรีทัฟฟ้า" แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัลฯ รวมไปถึง "มังกรโล่เงิน" โปลิศ เทโร เอฟซี จะยังคงมีเอกชนหนุนหลัง และทีมดูจะมีอนาคตอยู่ แต่ในอนาคตภายภาคหน้าถ้าเอกชนเหล่านั้น "ถอนกำลัง" ออกมาจากทีม ทหารกาศ ไร้ซึ่ง "เซ็นทรัล" หรือ ตำรวจ ไร้ซึ่ง "บีอีซี เทโรฯ" สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นแทบไม่ต้องคิด อาจจะต้องถึงเวลานับถอยหลังการ "สูญพันธุ์" ของทีม "เหล่าทัพ" ก็เป็นได้....