คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
หลังจากหายหน้าหายตาจากวงการฟุตบอลไปเสียนาน เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พรรคประชาชาติ ได้เปิดตัวคณะกรรมการบริหารพรรค โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นหัวหน้าพรรค พล.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นเลขาธิการพรรค และที่สำคัญ ''บังยี'' นายวรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้ามาร่วมบริหารงานด้วยในตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรค
บังยี เป็นนายกลูกหนังคนที่ 16 ได้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2550 ยิงยาวต่อเนื่องรวม 4 วาระ และถือเป็นชาวมุสลิมคนแรกที่ขึ้นมากุมบังเหียนวงการฟุตบอลไทย ก่อนหน้านั้นตั้งแต่ปี 2540 ไปมีตำแหน่งใหญ่เป็น 1 ในกรรมการบริหาร ของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า องค์กรแม่ของฟุตบอลทั่วโลก อย่างยาวนานถึง 19 ปี
ทันทีที่แกเข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมฯก็เริ่มสร้างลีกอาชีพ ผมจำได้ดีเพราะฤดูกาลใหม่ๆซิงๆของแกคือ ปี 2008 ผมเป็นผู้อำนวยการสโมสรจุฬา ยูไนเต็ด ซึ่งแน่นอนว่า ไทยลีก ยังไม่มีผู้สนับสนุนหลักที่เข้ามาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขัน อันนี้ถ้านำไปเปรียบเทียบกับทางชาติที่เจริญทางด้านฟุตบอลถือว่าเป็นเงินที่สำคัญมาก สามารถจัดสรรให้สโมสรต่างๆคิดเป็นงบประมาณถึง 1 ใน 3 ของแต่ละสโมสรทีเดียว
การดำเนินการอะไรที่ไม่สามารถตอบโจทย์ข้อแรกได้คือเรื่องเงินค่าใช้จ่ายนั้น มันยากแสนสาหัสอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การปฏิรูประบบลีกของแกนี่แหละที่ทำให้เพิ่มมูลค่า และเราเริ่มเห็นผลในปีต่อๆมา โดยลิขสิทธิ์การถ่ายทอดการแข่งขันได้รับความสนใจจากบริษัทที่ดำเนินกิจการโทรทัศน์หลายแห่ง และในที่สุด ทรู วิชั่นส์ ก็ประมูลได้ลิขสิทธิ์โดยต้องจ่ายเงินให้ปีละ 600 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี ทำให้ ลีกไทย มีอากาศหายใจและสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จนทุกวันนี้เท่าที่ผมทราบ เงินค่าลิขสิทธิ์ตามสัญญาที่ทำกันล่าสุดผูกพัน 4 ปีตั้งแต่สมัย บังยี ได้เซ็นไว้ในปีสุดท้ายก่อนหมดวาระเป็นจำนวนเงินเพิ่มพูนในอัตราก้าวหน้า ปีแรก 900 ล้าน ปีถัดมา 1,000 ล้าน 1,100 ล้าน และปีที่4 1,200 ล้าน บาท รวม 4,200 บาท
คุณวรวีร์ เผยว่าอยากจะทำในสิ่งที่ถนัดและรัก นั่นก็คือกีฬาและการพัฒนาเยาวชน เพราะถ้านำกีฬาเข้ามาพัฒนาคนและเยาวชน เยาวชนก็จะเป็นอนาคตของชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ และจากความรู้และประสบการณ์ของตัวเองในด้านกีฬาและการพัฒนา อันนี้เมื่อย้อนกลับไปดูผลงานที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่าแกเป็นผู้ก่อตั้งลีกอาชีพ ไทยพรีเมียร์ลีก และลีกภูมิภาคซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่สร้างนักฟุตบอลจากท้องถิ่นทั่วประเทศสู่ระดับสโมสรที่เข้มแข็งบนยอดพีรามิด และส่งผลทำให้ทีมชาติได้ประสบความสำเร็จในระดับเอชียเกือบทุกชุดในสมัยที่แกบริหารงาน
เมื่อผมได้ทราบว่า คุณวรวีร์ มีเจตนารมณ์ที่จะนำความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ความรู้จักผู้คน และที่สำคัญ วิธีการ ที่เรียกว่า Know How ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติมาสร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ผมก็ต้องนึกย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนที่เคยเขียนตำหนิแกอย่างค่อนข้างรุนแรง ซึ่งในกาลต่อมา จากข้อมูลหลายประการที่ผมได้รับทำให้เห็นได้ว่าความเข้าใจตอนนั้นคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงไม่น้อย อันนี้ผมเสียใจนะครับ และหวังว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ คุณวรวีร์ คงทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้อีกอย่างแน่นอน