เอเยนซี - สิ้นสุดการรอคอยยาวนาน 20 ปีสำหรับทัพ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ที่ผงาดคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ต่อจากปี 1998 หลังจากนัดชิงที่ ลุซนิกี้ สเตเดี้ยม กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา เอาชนะทีมแกร่งสุดเซอร์ไพรส์อย่าง “ตาหมากรุก” โครเอเชีย 4-2
มองผิวเผินอาจเป็นเพราะ ฝรั่งเศส อัดแน่นไปด้วยนักเตะทักษะสูงล้นเหลือจึงก้าวไปสู่ความสำเร็จ รวมถึงหมักบ่มประสบการณ์มาตั้งแต่ 2 ปีก่อนที่อกหักแพ้นัดศึก ยูโร 2016 ซึ่งก็เป็น ดิดิเยร์ เดสชองป์ส นายใหญ่คนเดิมที่พาทีมมาถึงจุดสูงสุด แต่ล่าสุด “The Conversation” เขียนบทความที่น่าสนใจ เจาะลึกมองไปถึงเรื่องเผ่าพันธุ์เชื้อชาติของผู้เล่นทัพ “ตราไก่” ที่แต่ละคนนั้นต่างศาสนา สีผิว เชื้อชาติ ทว่าร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อความเป็นหนึ่งเท่านั้น
ย้อนไปเมื่อปี 1998 ซีเนอดีน ซีดาน คือจอมทัพที่พา ฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลก แต่จริงๆ แล้วพื้นเพครอบครัวอพยพมาจากแอลจีเรียก่อนที่เจ้าตัวจะมาลืมตาดูโลกที่เมืองมาร์กเซย์ จากนั้นอีก 2 ทศวรรษ “ตราไก่” ก็มีแข้งเลือดใหม่อย่างเจ้าหนูวัย 19 ปี คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ ที่มีพ่อเป็นแคเมอรูน ส่วนแม่เป็นแอลจีเรีย เจ้าตัวนั้นมาเกิดที่ปารีส
ดังนั้นสิ่งที่เหมือนกันที่ผลักดัน ฝรั่งเศส จนประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกทั้ง 2 ครั้งก็คือ “black, blanc, beur” หรือ “ดำ ขาว และ อาหรับ” อันสื่อถึงสีผิวและเชื้อชาติที่หลากหลายมารวมกันเป็นหนึ่ง
แน่นอนว่าทั้ง ซีดาน กับ เอ็มบัปเป้ ถูกตรวจสอบเรื่องชาติพันธุ์และนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ เพราะบางคนมองว่าพวกนี้เป็นชาวต่างชาติที่มาอาศัยเท่านั้น ซึ่งย้อนไปปี 1998 มาร์แซล เดอไซญี่ กองหลังที่เกิดที่กาน่า ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักเช่นกัน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศส มีความคิดเรื่องการจำกัดโควต้าจำนวนผู้เล่นผิวสีกับชาวอาหรับในทีมชาติก็หมายถึงผู้เล่นต่างชาติที่เลือกรับใช้ทัพ “เลส์ เบลอส์” กระนั้นก็ตามไม่สำเร็จ เพราะก็มีเสียงต่อต้านที่มองว่าผู้เล่นผิวขาวนั้นจะมีมันสมอง ส่วนผู้เล่นผิวสีนั้นมีความความรวดเร็วและแข็งแกร่ง ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ก็น่าจะมาผสมผสานกันได้
ทีมชุดนี้ของ ฝรั่งเศส นั้นไม่มีผู้เล่นอย่าง คาริม เบนเซม่า กองหน้าที่ใครหลายคนยกย่องในเรื่องของฝีเท้าภายใต้สังกัด รีล มาดริด ทว่าเจ้าตัวนั้นมีปัญหาเรื่องเหยียดผิวทำให้โดนแบนตั้งแต่ปี 2015 และก็แทบจะหลุดถาวรไปเลย อีกคนก็คือ ซาเมียร์ นาสรี ซึ่งก็น่าจะเป็นในข้อหาเดียวกัน
หากมองให้ลึกไปในเรื่องของสังคม ฝรั่งเศส นั้นก็ยังมีความหลากหลายในเรื่องของฐานะและชนชั้นความยากจน อย่างเช่นพื้นที่อย่าง “ลา กาสเตลลาเนอ” (La Castellane) ย่านปกครองในเมืองมาร์กเซย์ที่ส่วนใหญ่เป็นที่ลี้ภัยของคนแอลจีเรียและเป็นที่ๆ ซีดาน เติบโตขึ้นมาก็มีปัญหาด้านยาเสพติด ความรุนแรง ค้าประเวณี ลักลอบค้าอาวุธ ทำให้คนที่ร่ำรวยนั้นดูทำร้ายและปล้นบ่อยครั้ง
บรรดาพวกที่ต่อต้านนั้นก็ค้านกันแบบหัวชนฝา เพราะมองว่านักเตะที่ไม่ใช่พวก ฝรั่งเศส แท้ๆ โดยกำเนิดนั้นเหตุที่ตัดสินใจมาสวมเสื้อ “ตราไก่” นั้นก็เพราะปากท้องและความอยู่รอดมากกว่า จริงๆ แล้วทุกคนมีชาติอื่นที่ฝังลึกอยู่ในใจและอาจรวมถึงในสายเลือด
สำหรับแชมป์ปี 2018 ถ้าจะสำรวจกันจริงๆ นักเตะทั้ง 23 คนมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่เป็นชาวฝรั่งเศสแท้ๆ ส่วนเกือบครึ่งนั้นมีเชื้อสายจากทวีปแอฟริกาที่เหลือนั้นก็แตกต่างกันไปหลากหลายเชื้อชาติ แต่สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าตามความแตกต่างกันนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะโลกเรานั้นไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด ประเทศฝรั่งเศสนั้นก็ไม่สมบูรณ์ยังมีเรื่องชนชั้นและความเหลื่อมล้ำปัญหาสังคมก็มากมายที่แก้ไม่ตก
แต่ทัพ “ตราไก่” นั้นไม่ได้สนใจในเรื่องความแตกต่าง แต่อ้าแขนรับและมองในแง่ของประโยชน์ที่รวมกันแล้วสร้างแต่ผลบวกได้มากกว่า ซึ่งเมื่อเปิดใจรับเช่นนี้แล้วความสำเร็จก็จะตามมาเอง เหมือนกับที่ ฝรั่งเศส ก้าวไปคว้าแชมป์โลกได้ทั้งในปี 1998 และ 2018