xs
xsm
sm
md
lg

แสงสุดท้ายที่เปล่งประกาย "โมดริช" จากเด็กอพยพหนีตาย สู่ยอดมิดฟิลด์ลุ้น “บอลทอง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ลูก้า โมดริช กับเพื่อนร่วมทีมโครแอตหลังปราบสิงโตคำราม
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 - ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ในที่สุดก็เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศหลังต่อสู้กันมาราวๆ 1 เดือนเต็ม ซึ่งต้องบอกว่าเซอร์ไพรส์สุดๆ กับม้ามืดอย่าง โครเอเชีย ที่ทะลุมาถึงด่านสุดท้าย

หนึ่งในกำลังสำคัญของทีม "โครแอต" ที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ หนีไม่พ้นมิดฟิลด์ร่างเล็ก เจ้าของความสูง 172 เซ็นติเมตร นามว่า "ลูก้า โมดริช" ที่ทำผลงานได้โดดเด่นเกินคำบรรยายพา “ตาหมากรุก” เข้าชิงฟุตบอลโลกครั้งแรก นับตั้งแต่แยกจาก ยูโกสลาเวีย เมื่อราวปี 1990 แต่กว่าจะมีวันนี้ชีวิตของยอดกองกลางรายนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ต้องเท้าความก่อนว่า กว่าที่ "โครเอเชีย" จะมีทุกวันนี้ได้ ต้องฝ่าฟันอะไรหลายๆอย่างมากมาย สมัยก่อนชาติเล็กๆชาตินี้เป็นเพียงหนึ่งใน 6 รัฐของประเทศยูโกสลาเวีย ประเทศที่มีหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายศาสนาปะปนกันมากมาย ก่อตั้งขึ้นในปี 1918 ซึ่งประกอบไปด้วยรัฐเซอร์เบีย, โครเอเชีย, บอสเนีย, สโลวีเนีย, มอนเตเนโกร และมาซิโดเนีย อย่างไรก็ตามภายหลังการจบชีวิตลงของนายพลโจซิป บรอซ "ติโต้" ผู้นำยูโกสลาเวีย ในปี 1980 กลุ่มรัฐต่างๆเหล่านี้จึงมีการร้องขอเอกราชเกิดขึ้น ซึ่งในแต่ละรัฐมีความแตกต่างในทุกๆเรื่องมากจนเกินกว่าจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และในปี 1991 "โครเอเชีย" ทำการประกาศเอกราช ซึ่งก็แน่นอนว่ารัฐบาลยูโกสลาเวียคงไม่ยอมง่ายๆ จึงเริ่มต้นสงครามอย่างดุเดือดขึ้นทันที มีคนเสียชีวิตไปกว่า 20,000 คน ผู้คนในโครแอตต่างต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ ไม่มีความสุข ซึ่งก็รวมไปถึงเด็กชายที่ชื่อ ลูก้า โมดริช ในวัย 6 ขวบ ณ เวลานั้น

ลูก้า โมดริช เกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง เขาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆนามว่า "โมดริซี่" แถบเทือกเขาเวเลบิท ซึ่งพ่อและแม่ของเขาต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวในแต่ละวันทำให้ โมดริช ต้องใช้ชีวิตอยู่กับคุณปู่เป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามในปี 1991 ที่มีการสู้รบกันอย่างหนักหน่วงระหว่างยูโกสลาเวีย กับรัฐโครเอเชีย กองทัพเซอร์เบียได้บุกเข้ามาในหมู่บ้านโมดริซี่ ผู้คนลุ้มลุกคลุกคลานหนีตายกันจ้าละหวั่น แต่ ลูก้า โมดริช ซีเนียร์ คุณปู่ของ ลูก้า โมดริช หนีกระสุนปืนไม่ทัน โดนยิงเสียชีวิตทันที ซึ่งทำให้ทั้งพ่อ แม่ และตัวเขาเอง ต้องอพยพมาอยู่ที่เมืองซาดาร์

เวลานั้น "ลูก้า โมดริช" เป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ไม่รู้จะทำอะไรในแต่ละวัน ต้องคอยหลบๆซ่อนๆอยู่แต่ในโรงแรมเท่านั้นเพราะภายนอกยังคงมีสงครามกันอยู่ เขาได้แต่เล่นฟุตบอลภายในลานจอดรถของโรงแรมกับเพื่อนๆภายในศูนย์อพยพ ซึ่งฝีเท้าของเขาบ่งบอกถึงความเก่งกาจมาตั้งแต่ตอนนั้น มีการแบ่งทีมเล่นกับเด็กๆด้วยกันภายในโรงแรม ซึ่งฟอร์มการเล่นของ "ลูก้า" ก็ไปเตะตาพนักงานโรงแรม และต่อสายตรงไปถึงผู้บริหารทีมเอ็นเค ซาดาร์ สโมสรท้องถิ่นในเมืองนั้นให้มาดูฟอร์มกาเล่นของเด็กที่ชื่อ ลูก้า โมดริช โดยด่วน ซึ่งผู้บริหารทีมซาดาร์ นามว่า โยซิป บาลโย ไม่รอช้า เดินทางมาที่โรงแรมและก็ต้องตาฟอร์มการเล่นของ ลูก้า โมดริช โดยทันทีในวัยเพียง 7 ขวบ จึงนำตัวเขามาเซ็นสัสญญาเข้าสู่อะคาเดมี่ของสโมสร ซึ่งพ่อและแม่ของเขาไม่ได้ขัดข้องแต่ประการใด ซึ่งระหว่างการฝึกซ้อมฟุตบอล "โมดริช" ก็คงหนีไม่พ้นสงคราม เพราะเขาได้ทนเสียงระเบิด เสียงปืน เสียงคนรบราฆ่าฟันกันตลอดเวลา แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ต้องทนกับสงครามอีกต่อไป เมื่อปี 1995 การประกาศเอกราชของโครเอเชียเป็นผล และประเทศยูโกสลาเวียถึงคราวล่มสลายไปในที่สุด

หลังจากนั้นเส้นทางชีวิตของลูก้า โมดริช เหมือนเป็นกราฟที่พุ่งขึ้นแบบไม่หยุด เขาได้เซ็นสัญญากับสโมสรยักษ์ใหญ่ในประเทศ อย่าง ดินาโม ซาเกร็บ ค้าแข้งอยู่กับทีมนี้ 5 ปี ลงเล่นไป 94 เกม ทำไป 26 ประตู จนฟอร์มไปเตะตา "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งกุนซือใหญ่ของทีมในเวลานั้น อย่าง แฮร์รี่ เร็ดแนปป์ พูดถึงยอดมิดฟิลด์พรสวรรค์สูงรายนี้หลังเซ็นสัญญาเขาเข้ามาร่วมทีมในปี 2008 ว่า "เด็กวัย 23 ปีคนนี้ จะกลายเป็นสุดยอดกองกลางชั้นเยี่ยม เขาไม่ได้เห็นมิดฟิลด์ที่รูปร่างเล็กขนาดนี้ที่ครองบอลได้เหนียวแน่น เปิดบอลได้แม่นยำ เข้าสกัดคู่แข่งได้เด็ดขาดแบบ ลูก้า โมดริช มานานแล้ว" จนสุดท้ายกองกลางร่างเล็กรายนี้ก็ได้รับข้อเสนอครั้งใหญ่จากยักษ์ใหญ่อย่าง รีล มาดริด ในปี 2012

อย่างไรก็ตามแม้เขาจะโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นมากๆกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ แต่การมาเล่นในลาลีก้า สเปน ซีซั่นแรกกับทีมชุดขาวไม่ค่อยเป็นอย่างที่เขาหวังไว้ เขาทำผลงานได้ไม่ดีนัก และถูกโหวตจากแฟนบอลทีม รีล มาดริด กลายเป็นการเซ็นสัญญายอดแย่ประจำฤดูกาล 2012-13 ของทีม แต่ ลูก้า โมดริช ไม่เคยยอมแพ้ เขาเรียกฟอร์มเก่งของตัวเก่งกลับคืนมา ใช้เวลาพัฒนาตัวเองเพียงปีเดียวจากนักเตะยอดแย่กลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ทีมจะขาดไม่ได้ เขาเคยได้รับคำชมจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ว่า "เขาคือหัวใจในแผงกองกลางของเรา ในทุกๆเกมถ้ามีเขาอยู่ในสนาม ผมจะเบาใจทุกครั้ง ซึ่งเขาจะเติบโตไปเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดตลอดกาลของ เรอัล มาดริด แน่นอน"

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ลูก้า โมดริช เป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่โชว์ฟอร์มได้คงเส้นคงวาที่สุดในยุคนี้ เขากลายเป็นนักเตะที่ รีล มาดริด แทบจะขาดไม่ได้ เขาประสบความสำเร็จกับทีม "ราชันชุดขาว" ในการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 4 สมัย, ลาลีก้า สเปน 1 สมัย โคปา เดลเรย์ 1 สมัย, สโมสรโลก 3 สมัย รวมไปถึง ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อีก 3 สมัย ที่สำคัญไปกว่านั้น ในฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย เขากลายเป็นผู้เล่นชุดประวัติศาสตร์ที่พา "โครเอเชีย" ทะลุถึงรอบชิงในศึกเวิลด์คัพ ได้เป็นครั้งแรก เขาถูกพูดถึงเป็นอย่างมากกับฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นมากในทัวร์นาเมนต์นี้ และในเวลานี้เขาถูกหยิบยกไปเทียบกับ อันเดรส อิเนียสต้า ที่เคยพา "กระทิงดุ" สเปน คว้าแชมป์โลกมาครองกับประตูชัยในปี 2010 ไม่เพียงเท่านั้นหลายๆฝ่ายไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน คนในวงการลูกหนัง เริ่มพูดกันไปถึงว่า "ลูก้า โมดริช" ดีพอหรือยังที่จะคว้ารางวัล "บัลลงดอร์" ในปีนี้

มันคงเป็นปีที่ยอดมิดฟิลด์รายนี้เขยิบเข้าใกล้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า หรือ "บัลลงดอร์" มากที่สุด ในวัย 32 ปี เส้นทางของเขามันคล้ายๆกับปี 2010 ที่อันเดรส อิเนียสต้า เคยพาทั้งบาร์เซโลน่า และทีมชาติสเปน ประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายในปีนั้นเขากลับไม่ได้รางวัลบัลลงดอร์ ซึ่ง ณ ตอนนี้ยังคงถูกพูดถึงไม่หยุดหย่อน เพราะหลายๆคนไม่เห็นด้วย

ไม่ว่า โมดริช จะคว้าแชมป์โลก 2018 มาครองได้หรือไม่ก็ตาม เขาอาจมีลุ้นไปถึงการคว้ารางวัลบัลลงดอร์มาครอบครองด้วย เพราะก่อนหน้านี้ช่วงเดือนพฤษภาคม เขาก็เพิ่งช่วย รีล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 13 แต่ถ้าไม่ได้บัลลงดอร์ในปีนี้ ก็เรียกได้ว่าช่วงชีวิตนี้น่าจะไม่มีโอกาสแล้ว
โมดริช สมัยเป็นแข้งเยาวชนเอ็นเค ซาดาร์
สภาพบ้านหลังเก่าที่เคยใช้หลบสงครามกลางเมืองในวัยเด็ก
สัญญานักฟุตบอลอาชีพฉบับแรกในชีวิตของ โมดริช
สมัยค้าแข้งกับดินาโม ซาเกร็บ
พา รีล มาดริด คว้าถ้วยยุโรปถึง 4 สมัย


กำลังโหลดความคิดเห็น