ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 - การเลือกตั้งประธานาธิบดีของรัสเซีย จบลงเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่ผ่านมา ไม่มีการพลิกโผเมื่อผู้ชนะคือ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้เรืองอำนาจที่พร้อมจะสานงานต่อจากสิ่งที่ตัวเองทำไว้สมัยที่ 4 รวมถึงภารกิจฟุตบอลแห่งมวลมนุษยชาติ “เวิลด์ คัพ 2018” ที่เจ้าตัวและพวกพ้องต้องรับมือกับผู้คนต่างบ้านต่างเมืองอย่างเต็มที่ในฐานะเจ้าภาพ แม้กระแสช่วงโค้งสุดท้ายจะดูน่าเป็นห่วง
การลงคะแนนเสียงเลือกผู้นำของแดนหมีขาวครั้งล่าสุด ปูติน ยังคงได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในประเทศอย่างล้นหลามด้วยคะแนนเสียงถึง 73.9% ของผู้มาใช้สิทธิ์ แต่ก็มีข่าวว่าคณะกรรมการเลือกตั้งกลางของประเทศ พิจารณาเห็นความไม่ชอบมาพากลเพราะพบเห็นผู้ลงคะแนนเสียงหย่อนบัตรเลือกตั้งมากกว่า 1 ใบอยู่หลายราย ขณะที่ผู้นำฝ่ายค้านอย่าง อเล็กเซ นาวาลนี ก็ออกมาหาแนวร่วมจากประชาชนให้การเลือกตั้งหนนี้เป็นโมฆะ
นอกจากนี้ช่วงก่อนเลือกตั้ง ยังมีข่าวไม่สู้ดีของอดีตสายลับ KGB ผุดออกมาว่ามีส่วนรู้เห็นกับการวางยาพิษ เซอร์เก สกรีปอล อดีตสายลับชายของรัสเซียและลูกสาว ที่มาอาศัยอยู่ในอังกฤษจนอยู่ในอาการโคม่า แม้จะออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องแต่รัฐบาลอังกฤษก็ไม่พอใจ ประกอบกับเรื่องราวที่ เธเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีหญิงของเมืองผู้ดีขับไล่ไสส่งเจ้าหน้าที่การฑูตของรัสเซียในอังกฤษทั้ง 23 คนให้กลับบ้านแผ่นดินเกิด ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตึงเครียดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
อังกฤษ ได้ชื่อว่าไม่ชอบให้คนแปลกหน้าจากประเทศอื่นเข้ามาสร้างประเด็นในถิ่นตัวเองอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ทำให้คนใหญ่คนโตหลายๆคนร่วมกันเสนอความเห็นว่าควรจะมีการบอยคอตต์การแข่งขันฟุตบอลโลกที่รัสเซียไปเสีย โดย คริสเตียน เพิร์สโลว์ อดีตทีมผู้บริหารของ เชลซี เผยว่าอยากให้พวกทีมชาติที่เป็นตัวเต็งอย่าง เยอรมนี, สเปน, ฝรั่งเศส ถอนตัวจากการชิงโทรฟีลูกหนังโลก ที่จะมีขึ้นวันที่ 14 มิถุนายน - 15 กรกฏาคม พร้อมเสนอให้ทัพ “สิงโตคำราม” ไม่ร่วมฟาดแข้งรอบสุดท้ายด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น เธเรซ่า เมย์ ผู้นำหญิงของอังกฤษก็เพิ่งให้สัมภาษณ์ไปว่าจากคดีการวางยาพิษ ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ของอังกฤษ ตัดสินใจไม่ขอมีส่วนร่วมใดๆกับศึกลูกหนังชิงแชมป์โลก แม้กระทั่งไม่เข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันวันที่ 14 มิถุนายนนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์สื่อเชื่อว่าการที่ อังกฤษ ออกแอ็คชั่นแบบนี้ก็เพื่อเป็นการเล่นสงครามจิตวิทยากับรัฐบาลของ ปูติน และคงไม่บ้าจี้ถึงขนาดสั่งให้ทีมชาติของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ต้องยุติภารกิจล่าแชมป์โลกสมัย 2 อันเป็นสิ่งที่ชาวเมืองผู้ดีโหยหาตลอด 52 ปีแน่
กลับมาที่ฟุตบอลโลกในรัสเซีย ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายแล้วก่อนที่ทัวร์นาเมนต์จะเปิดฉากอีก 3 เดือน ทว่ากระแสกลับเบาบางไม่น่าตื่นเต้นเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา รายงานระบุว่ายอดขายตั๋วที่ ฟีฟ่า ปล่อยให้ไปยังประเทศต่างๆขายได้น้อยกว่าเดิมโดยเฉพาะที่อังกฤษ เทียบกับ เวิลด์ คัพ หนก่อนที่ บราซิล ยอดขายตกถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เลือกจะนอนดูถ่ายทอดสดที่บ้าน ดีกว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับฮูลิแกนเจ้าถิ่นที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก
รัสเซีย ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่บ้าคลั่งกีฬาลูกหนังเป็นอันดับต้นๆ และอารมณ์เหล่านั้นก็ถูกส่งต่อไปที่แฟนบอลฮูลิแกนนามกระเดื่อง “อุลตร้า รัสเซียน” ซึ่งพร้อมจะแสดงแสนยานุภาพต่อแฟนบอลคู่แข่งทุกชาติที่เข้ามาแถมยังมีพวกเหยียดเชื้อชาติสอดแทรกเข้าร่วม แฟนบอลอังกฤษคงรู้พิษสงดีจากการเปิดสงครามกันในทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศสซึ่งตีกันเลือดนอง ส่วนแฟนบอลน้ำดีท่านอื่นก็หวาดระแวงกลัวโดนลูกหลงไปด้วยเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยว่าดูบอลจบแล้วจะได้กลับบ้านแบบครบ 32 หรือไม่
สุดท้าย ไม่ว่าเรื่องการเมืองหรือสังคมที่เกิดขึ้นรัสเซีย ถึงจะไม่เกี่ยวกับวงการลูกหนังแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ ปูติน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ก็ส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน เวิลด์ คัพ พอสมควร หน้าที่ต่อจากนี้ของผู้นำจากแดนหมีขาวรวมถึงรัฐบาลคือการสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น ต่อนานาประเทศว่าพวกเขาพร้อมเป็นมิตรกับแขกบ้านต่างเมืองในอีเวนต์สำคัญนี้ เพราะขนาดโอลิมปิกฤดูหนาว ปี 2014 ที่เมืองโซชิ ยังจัดผ่านกันมาได้ การรับมือกับรายการลูกหนังระดับโลกคงไม่ใช่เรื่องเกินกำลังของผู้นำวัย 65 ปีแน่
เรื่องโดย - วัลลภ สวัสดี