ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 - ศึกมวยลูกกรงรายการใหญ่ระดับเอเชีย วัน แชมเปียนชิป (ONE Championship) เวลานี้ได้สร้างกระแสความนิยมจากคอหมัดมวยในเอเชียได้มากขึ้นพอสมควร โดยเฉพาะตลาดปัจจุบันในแถบอาเซียนอย่าง อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เมียนมาร์ และ สิงคโปร์ ที่มีฐานคนดูอยู่ในระดับสูงเดินทางไปจัดแข่งทีไรคนดูก็แน่นสนาม สวนทางกับที่เมืองไทยซึ่งยังไม่สามารถเจาะตลาดเข้าได้สำเร็จ ซึ่งก็มีอหลายปัจจัยที่พวกเขาต้องศึกษาและแก้ไขให้ดีขึ้น
วัน แชมเปียนชิป เริ่มต้นจากไอเดียของ ชาตรี ศิษย์ยอดธง นักธุรกิจหนุ่มชาวไทยที่อดีตเคยเป็นนักมวยอาชีพอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจับมือกับเพื่อนๆที่มีแนวคิดแบบเดียวกันจัดทัวร์นาเมนต์ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2011 โดยมีฐานใหญ่อยู่ที่ สิงคโปร์ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พวกเขาเสิร์ฟยอดนักสู้ฝีมือดีออกไปฟาดฟันชิงเข็มขัดแชมป์โลกกันในลูกกรงเหล็กมากมาย ค่อยๆสร้างแบรนด์และฐานความนิยมจากแฟนๆในเอเชีย จนตอนนี้กลายเป็นรายการกีฬาที่มีคนดูมากที่สุดในเอเชียไปแล้ว
ความนิยมของทัวร์นาเมนต์ วัน แชมเปียนชิป นับวันยิ่งสูงต่อเนื่องทั้งยอดผู้ชมในสนามหรือเรตติ้งการถ่ายทอดสดที่ทำยอดคนดูผ่าน Pay-Per-View ได้ระดับ 10 ล้านครัวเรือน และปัจจุบันเริ่มเดินทางสู่ประเทศแผ่นดินใหญ่แล้วทั้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน กับ เกาหลีใต้ สรุปแล้วปี 2018 พวกเขาจะจัดการแข่งขันทั้งหมด 23 ครั้ง รวมถึงประเทศไทย ที่รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพให้เหล่านักสู้ชาวไทยขึ้นเวทีแสดงฝีมือทั้งหมด 4 ครั้งด้วยกัน
กระนั้นก็ต้องยอมรับว่ากระแสความนิยมของ วัน แชมเปียนชิป ในเมืองไทยยังไม่ถึงกับหวือหวาเท่าที่ควร แม้ปัจจุบันจะมีเด็กหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่เริ่มหันมาเล่นกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสานมากขึ้น มีทัวร์นาเมนต์ในประเทศรองรับ แต่ด้วยพื้นฐานของคนไทยที่ชอบดูมวยสากล ซึ่งดูง่ายและไม่ซับซ้อนเท่ากับ มิกซ์ มาร์เชียล อาร์ต ที่มีกฎ กติกา ยิบย่อยมากมาย แถมภาพจำของผู้ชมส่วนใหญ่คือคิดว่า MMA คือกีฬาที่รุนแรง ต่อยกันเลือดสาด บิดข้อต่อ หักกระดูก ทำให้ดูแล้วเสียวไส้
การแข่งขัน วัน แชมเปียนชิป ที่เมืองไทย ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ปีก่อน แม้จะประเคนนักสู้ไทยทั้งหน้าใหม่และตัวเก๋าขึ้นไปวาดลวดลายเก็บชัยชนะ ทว่ายอดผู้ชมใน อิมแพ็ค อารีน่า ก็ไม่ได้เยอะแยะผิดกับตอนที่ไปจัดใน เมียนมาร์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, มาเก๊า ที่ผู้ชมเจ้าถิ่นและชาวต่างชาติตีตั๋วกันแน่นสนาม โดยเฉพาะที่ เมียนมาร์ คนดูถล่มทลายเพราะมีฮีโร่อย่าง ออง ลา เอ็น ซาง ถือครองเข็มขัดแชมป์โลกอยู่ เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ
ขณะที่เมืองไทย มีสตาร์ดังเรียกแขกเช่น “ครูตอง-วันชิน” ชนนภัทร วิรัชชัย และ “ไทนี่ ดอลล์” ริกะ อิชิเกะ นักสู้สาวหน้าตาน่ารักขวัญใจหนุ่มๆ และสายเลือดใหม่เช่น “ดรีมแมน” กฤษดา คงศรีชาย แต่ไม่มีใครที่สามารถก้าวขึ้นไปถึงเข็มขัดแชมป์โลก รายของ “ครูตอง” ปีที่แล้วได้สิทธิ์ท้าชิงเข็มขัดทว่าไม่ถึงฝั่งฝันแพ้คะแนนต่อ ราซูล ยาคาเยฟ จากรัสเซีย แถมผลงานบนเวทีก็ไม่ร้อนแรงเท่าไฟต์เก่าทำให้คนดูในบ้านส่งเสียงโห่ ส่วนรายของ “ครูรงค์” เดชดำรงค์ ส. อำนวยศิริโชค ที่เคยได้เข็มขัดรุ่นสตรอวเวท ก็เกิดขึ้นนานมาแล้วคนรุ่นใหม่ย่อมไม่คุ้นเคย
ขณะที่การประชาสัมพันธ์ พวกเขาได้ ไทยรัฐ ทีวี รับหน้าที่ยิงสัญญาณถ่ายทอดให้แฟนมวยได้รับชมกัน กระนั้นก็ยังไม่วงกว้างมากพอ แถมขาดผู้สนับสนุนหลักในประเทศมาร่วมด้วยช่วยกัน ผิดกับต่างประเทศที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่หนุนเพียบทั้ง ดิสนีย์, แอปเปิล, กูเกิ้ล ถึงปัจจุบันจะพึ่งพาพลังของ โซเชียล เน็ตเวิร์ค ทั้งเฟซบุ๊ค และ อินสตาแกรม แต่ต้องยอมรับว่าเข้าไม่ถึงทุกกลุ่มโดยเฉพาะแฟนมวยกลุ่มสูงวัยที่หวังให้เป็นฐานเสียงหลัก
ทั้งหมดทั้งปวงสรุปว่าหาก วัน แชมเปียนชิป หวังเจาะตลาดชาวไทยให้สำเร็จเหมือนประเทศอื่น สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำคือสร้างนักสู้ที่สามารถขึ้นไปชิงเข็มขัดแชมป์โลกได้อย่างน้อย 1 คน สร้างเนื้อเรื่องให้น่าสนใจและปั้นกันไปเรื่อยๆ ยิ่งผู้บริหารเป็นคนไทยด้วยกันยิ่งคุยกันง่าย ต่อมาคือเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ที่ต้องทำโฆษณาส่งเสริมให้เห็นว่ากีฬา MMA ไม่ใช่กีฬารุนแรงแบบที่ UFC รายการยอดฮิตของสหรัฐอเมริกา นำเสนอเรื่องการสู้กันเลือดสาดให้เห็นจนติดตา รวมถึงประกาศให้รู้ว่า MMA สามารถทำเป็นอาชีพได้
จากการพูดคุยกับแหล่งข่าวรายหนึ่งในรายการ พบว่าพวกเขาเพิ่งมีการสร้างระบบฐานเงินเดือนให้นักกีฬาที่เซ็นสัญญากับรายการเมื่อไม่นาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะหากนักกีฬาต้องคอยมารับค่าเหนื่อยเฉพาะไฟต์ที่ลงแข่งกำลังใจคงถดถอยเพราะปีหนึ่งขึ้นเวทีกันแค่ไม่กี่ครั้ง พวกมือดังคงไม่เท่าไหร่แต่กับนักสู้รายใหม่ที่กำลังสร้างตัวตนก็ลำบาก เรื่องนี้ทางการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ต้องเข้ามามีส่วนร่วมประชาสัมพันธ์ด้วย
แต่เหนืออื่นใด สิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างทัศนคติของคนดูมวยเมืองไทยที่ยังคุ้นชินกับการดูมวยและติดภาพลักษณ์ว่า MMA คือกีฬาป่าเถื่อนรุนแรงอยู่ ซึ่งปัจจุบัน วัน แชมเปียนชิป ก็พยายามลดความรุนแรงลงพอสมควรแล้ว แม้จะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจแต่ก็ไม่สายที่จะเริ่มหากหวังเจาะตลาดเมืองไทยอย่างยั่งยืน
เรื่องโดย - วัลลภ สวัสดี