ผู้จัดการรายวัน 360 - “ณ วันนี้เรามีความพร้อม 100 เปอร์เซนต์สำหรับการเป็นเจ้าภาพ โมโตจีพี ทั้งในเรื่องของสนามที่มีทีมงานของ FIM มาตรวจสอบมาตรฐานเป็นระยะ ขณะเดียวกันด้วยประสบการณ์ที่เราเป็นเจ้าภาพกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับเอเชียมา 3 ปี ทำให้เรารู้ว่าการเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้องทำอย่างไร ฉะนั้นผมหวังว่าเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ พี่น้องคนไทยทุกคนจะมีความสุขกับการชมศึก โมโตจีพี ที่บุรีรัมย์”
นั่นคือคำพูดของ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พ่วงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาสนาม ช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ กล่าวต่อสื่อมวลชนและทีมผู้บริหารของ การกีฬาแห่งประเทศไทย ถึงความพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าภาพศึกรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก โมโตจีพี ที่มีกำหนดระเบิดความสนุกให้สาวกสองล้อชาวไทยได้ชมกันถึงบ้านอีก 8 เดือนข้างหน้า
หลังได้รับการพิจารณาจาก ดอร์นา สปอร์ต ให้ประเทศไทย บรรจุลงปฏิทินการแข่งขัน โมโตจีพี ฤดูกาล 2018 สนามช้างฯ ที่เคยรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพกีฬามอเตอร์สปอร์ตมากมายทั้ง เอเชีย โรด เรซซิ่ง แชมเปียนชิป, เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปียนชิป, ซูเปอร์จีที และอีเวนต์อื่นๆ ก็ได้ชิมลางความพร้อมของตัวเองด้วยการถูกเลือกเป็นสนามแห่งที่ 2 ในการจัดทดสอบรถ “วินเตอร์ เทสต์” ของโมโตจีพี เมื่อวันที่ 16-18 ตุลาคม ที่ผ่านมา
การทดสอบครั้งนี้มีความสำคัญนอกจากให้แต่ละทีมเก็บข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนารถ ยังเปิดโอกาสให้เหล่านักบิดในวงการโมโตจีพี ลองสัมผัสแทร็คใหม่ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย ซึ่งนักบิดซูเปอร์สตาร์จาก 2 ค่ายยักษ์ โมวิสตาร์ ยามาฮ่า ทั้ง วาเลนติโน รอสซี เทพเจ้าแชมป์โลก 9 สมัย, มาเวอริค บิญาเลส รุกกี้ทีมเมท รวมถึง มาร์ค มาร์เกวซ แชมป์โลกชาวสแปนิช และ ดานี เปโดรซา 2 คู่หูจาก เรปโซล ฮอนด้า พร้อมนักบิดรายอื่นๆตอบรับเข้าร่วมไม่มีเบี้ยว
การทดสอบตลอด 3 วัน เหล่านักบิดต้องนำรถลงสนามท่ามกลางอุณหภูมิร้อนระอุ สูงสุดถึง 41.1 องศาเซลเซียส กระนั้นทุกคนก็ยังสามารถขับขี่ได้อย่างเต็มที่กว่า 90 รอบสนาม โดยมีแฟนคลับฝ่าอากาศร้อนมาเชียร์ถึงทีี่ ซึ่งพิจารณาจากผลการทดสอบดูเหมือนจะถูกโฉลกกับรถที่ทำความเร็วทางตรงได้ดีทั้ง ฮอนด้า และ ดูคาติ ราวกับบอกใบ้กลายๆว่าทีมใดมีลุ้นแชมป์มากที่สุดก่อนแข่งจริง
แม้ผลงานของฝั่ง โมวิสตาร์ ยามาฮ่า จะยังไม่น่าประทับใจแต่การทดสอบครั้งนี้ก็ทำให้ทัศนคติของ “เดอะ ด็อกเตอร์” วาเลนติโน รอสซี ขวัญใจสิงห์นักบิดทั่วโลกเปลี่ยนไป เพราะก่อนหน้าเจ้าตัวเคยวิจารณ์สนามแห่งนี้ว่ามีแต่ทางตรงและน่าเบื่อ “สนามช้างฯ ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่คิด สนามมีสภาพที่ดี รวมถึงการยึดเกาะและทางโค้งที่ดี ในด้านเทคนิคมันอาจจะดูง่ายแต่ไม่น่าเบื่อซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก”
ด้าน มาร์ค มาร์เกวซ แชมป์โลก 4 สมัยแห่ง เรปโซล ฮอนด้า พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพอใจกับแทร็คที่นี่ รวมถึงความท้าทายในการเข้าโค้งบริเวณโค้ง 1 กับโค้ง 3 ซึ่งต้องกดเบรคค่อนข้างหนักทั้งที่บิดมาเต็มที่ ส่วนผลงานเวลาที่ออกมาก็ถือว่ายอดเยี่ยมดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงวันแข่งจริงจะมีสิทธิ์ลุ้นขึ้นโพเดียม
ส่วน “โอ๊ต” ตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการประจำสนาม เผยได้รับคอมเมนต์ที่ดีและส่วนที่ต้องปรับปรุงตลอด 3 วัน โดยจะนำข้อมูลที่ได้ไปแก้ไขเพื่อให้พร้อมสำหรับอีเวนต์สำคัญเดือนตุลาคม “เราได้รับความเห็นจากทีมงานว่าบริเวณโค้ง 11 ก่อนถึงโค้งสุดท้ายอยากให้มีการปรับทางเข้าพิตให้กว้างเล็กน้อยเพื่อความสะดวกของนักแข่งที่จะเอารถเข้าพิต ที่เหลือก็ไม่มีปัญหาอะไรและทุกคนก็พอใจกับแทร็ค เหลือเพียงการปรับเซตรถที่แต่ละทีมต้องหาจุดลงตัวให้เจอ”
ไม่เพียงแค่กระแสตอบรับที่ดีจากคนดู บรรดาผู้คนท้องถิ่นต่างก็ได้รับประโยชน์จากการจัด วินเตอร์ เทสต์ เหมือนกัน เช่นผู้ประกอบอาชีพบริการขับรถทั้งสามล้อ และรถจักรยานยนต์รับจ้าง ต่างพูดเช่นกันว่าอีเวนต์นี้ทำให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขี้นหลายพันบาท จากการรับ-ส่ง นักท่องเที่ยวเข้ามาในสนาม ตกเฉลี่ยวันละ 20-30 รอบ และคาดว่าตัวเลขจะสูงยิ่งกว่านี้เมื่อ โมโตจีพี ครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมืองไทยเกิดขึ้น
จากการประเมินความพอใจทั้งผู้จัด, นักแข่งระดับโลก, ผู้ชมในสนามที่เข้า-ออกตลอด 3 วันระดับหมื่นคน, ตั๋วที่นั่งแกรนด์สแตนด์ 10,000 ที่นั่ง และโซน รอสซี สแตนด์ ที่ขายหมดเกลี้ยงไปแล้ว รวมถึงโซนอื่นๆที่กำลังจะหมดในอีกไม่กี่อึดใจ ก็ถือเป็นสัญญาณดีที่บ่งบอกว่า จ.บุรีรัมย์ และจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน พร้อมแล้วสำหรับการเป็นเจ้าภาพศึกสองล้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก วันที่ 5-7 ตุลาคม ชนิดที่ว่าน่าเสียดายหากทำได้เพียงรับชมผ่านทางจอทีวีที่บ้าน แทนที่จะออกไปตีตั๋วดูถึงขอบสนาม
