ผู้จัดการรายวัน 360 - ในชีวิตของทุกคนล้วนแล้วแต่มีความฝัน แต่จะมีสักกี่คนที่ทำตามความฝันของตัวเองได้สำเร็จ ไม่เว้นแม้กระทั่งชายหนุ่มผู้คลั่งไคล้และคลุกคลีอยู่กับวงการฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเขาใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเตะอาชีพ แต่สุดท้ายมิอาจหยิบโอกาสเหล่านั้นมาได้ อย่าง "เบนจามิน จุง ทัฟเนล" หรือที่คนไทยรู้จักในนาม "เบน ซิลลี่ฟูล" ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งให้นั่งแท่นผู้อำนวยการสโมสรฟุตซอลพีทีที บลูเวฟ ชลบุรี ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโต๊ะเล็กของไทย
ก่อนหน้านี้เราอาจจะรู้จักผู้ชายคนนี้ในการเป็นนักร้องนำของวงร็อคชื่อดัง "ซิลลี่ฟูล" อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งของชีวิตหลายๆคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าชายผู้หลงไหลในเสียงเพลง จะคลั่งไคล้และหลงรักฟุตบอลมากกว่าดนตรีเสียด้วยซ้ำไป
ครอบครัวของเบนอาศัยอยู่ในอเมริกา ซึ่งเจ้าตัวเข้าศึกษาระดับไฮสคูลที่โรงเรียนริจช์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ และย้ายไปศึกษาที่แบลร์ อะคาเดมี ก่อนจะเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่โลโยลา แมรี่แลนด์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ซึ่งช่วงนี้เองเป็นช่วงที่ "เบน" คลั่งไคล้ฟุตบอลเป็นอย่างมาก เริ่มแรกเขาแค่เล่นมันกับเพื่อนๆจนสุดท้ายฟอร์มการเล่นไปเตะตาผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยจนมอบทุนการศึกษาให้ในฐานะนักกีฬา เป็นนักฟุตบอลมหาวิทยาลัย จนมีโอกาสได้ลงเล่นฟุตบอลระดับดิวิชั่น 1 ของอเมริกา แต่ในเวลานั้นยังไม่ใช่ลีกอาชีพเต็มตัว เพราะที่อเมริกามีเงื่อนไขว่านักกีฬาที่จะเล่นอาชีพได้ต้องเรียนจบระดับคอลเลจ หรือมหาวิทยาลัยเสียก่อน
เบน เล่าชีวิตช่วงมหาวิทยาลัยให้ฟังว่า "เมื่อก่อนผมก็เป็นนักฟุตบอลให้ทีมมหาวิทยาลัย และเป็นเด็กฝึกของทีมในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา เล่นฟุตบอลอยู่ในระดับดิวิชั่น 1 ซึ่งมันจะเป็นเวทีที่ป้อนนักเตะให้ขึ้นสู่เมเจอร์ลีก เมื่อก่อนเมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ยังไม่มีชื่อเสียงเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แต่ละทีมก็จะมีนักฟุตบอลที่เป็นลูกเป็นหลานของประธานสโมสรบ้าง หรือผู้ใหญ่ในทีมบ้าง แต่ช่วงหลังเขามีการลงไปดูแลลีกให้เป็นมืออาชีพมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าเป็นอาชีพจริงๆ มีการแบ่งสาย มีกฎมีเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมเหมือนลีกอาชีพในยุโรป ตอนนั้นผมก็ได้เล่นในลีกดิวิชั่น 1 อย่างที่บอกไปอยู่ช่วงหนึ่ง"
"ที่อเมริกามันมีทัวร์นาเมนต์เยอะ มีหลายลีกเต็มไปหมด แต่ในปัจจุบับลีกดิวิชั่น 1 ตอนนี้กลายเป็นลีกสำรองของบรรดาทีมในเมเจอร์ลีกที่จะส่งเด็ก เยาวชน ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ หรือผู้เล่นที่ไม่ค่อยได้ลงในทีมชุดใหญ่ก็ถูกส่งไปเล่นในลีกนี้ เอาจริงๆถ้าย้อนไปเมื่อตอนเด็กๆ ครอบครัวผมก็ไม่ได้มีฐานะเท่าไหร่ แต่คุณพ่อและคุณปู่ของผมเขาพอจะมีคอนเน็คชั่นที่ดีกับทีมในเมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ มันเลยทำให้ผมได้มีโอกาสคลุกคลีกับวงการซ็อคเกอร์ที่อเมริกา ได้เข้าสนามไปชมเกมเมเจอร์ลีกตลอด" เบนจามิน กล่าวถึงชีวิตในอดีต
ส่วนชีวิตที่เมืองไทยหลังจาก "เบน" ออกจากวงซิลลี่ฟูล ดูเหมือนว่าเขาจะหายหน้าหายตาไปจากวงการดนตรีพอสมควร แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มจะไม่ไหวเพราะได้รับบาดเจ็บเกี่ยวกับกระดูกจึงขอพักรักษาตัวเองจะดีกว่า
"จริงๆผมก็ไม่ได้หายไปไหน ตอนนี้ในวงการดนตรีผมก็ยังมีร้องเพลงละครอยู่ ล่าสุดทางช่อง 7 ก็เพิ่งติดต่อให้ไปร้องเพลงประกอบละคร ฟิทเจอริ่งกับ "กอล์ฟ ฟักกิ่งฮีโร่" ด้วย และก่อนหน้านี้ผมก็มีรับร้องเพลงละครอยู่บ้าง รวมถึงเพลงโฆษณา แล้วก็มีโปรเจ็กต์กับเพื่อนๆเหมือนมารวมตัวกัน ตอนนี้ก็อัดเดโม่อาจจะส่งค่ายเพลงด้วย"
"ส่วนการเข้ามาสู่วงการฟุตซอล ต้องขอเล่าย้อนกลับไปก่อนว่า ผมได้โอกาสเข้ามาทำงานที่ไทยคือเป็นอาจารย์สอนภาษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ จ.ระยอง ก่อนที่ผมจะไปอยู่ซิลลีฟูลอีก ช่วงเวลานั้นผมก็ติดตามฟุตบอลไทยอยู่พอสมควร แต่ที่ผมชอบที่สุดคือฟุตซอล ผมตามไปเชียร์ทีมชลบุรี บลูเวฟ แทบจะตลอดในช่วงนั้น ผมรู้สึกหลงไหลในกีฬานี้ มันสนุกนะ มันใช้ทักษะหลายๆกีฬา อย่างฟุตบอล, บาสเกตบอล มารวมกัน ตอนแรกผมก็เป็นแค่คนดู"
"แต่ส่วนตัวเนี่ยผมรู้จักกับคุณน้าของ แปม ธัชพัทธ์ เบ็ญจศิริวรรณ ประธานสโมสร พีทีที บลูเวฟ ชลบุรี ซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆของ ป๋อม อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ ประธานพัฒนาฟุตซอลฯ เขาเลยแนะนำให้ผมไปรู้จักแล้วทีนี้ก็คุยกันถูกคอ ตอนแรกผมมีตำแหน่งในทีมคือเป็นที่ปรึกษาของประธานสโมสร ผมก็ไปดูทีมแข่งแทบทุกนัด และพอจบฤดูกาลที่แล้วก็มานั่งคุยกันกับแปม ทุกคนก็เห็นพ้องกันว่าควรมีตำแหน่งผู้จัดการ หรือผู้อำนวยการสโมสร ซึ่งก่อนหน้านี้ โค้ชหมี รักษ์พล ควบทั้งเป็นโค้ชด้วย และผู้จัดการด้วย พอคุยกันเสร็จท่านประธานเลยแต่งตั้งให้ผมเป็นผู้อำนวยการสโมสร เพื่อเชื่อมและเป็นสื่อกลางระหว่างโค้ชกับนักเตะ ที่สำคัญตอนนี้ แปม เขาไปอบรมคอร์สของฟีฟ่าอยู่ ทีมก็ไม่มีคนดูแล ช่วงนั้นทีมก็เหมือนจะเคว้งๆหน่อย ผมเลยเข้าไปรับตำแหน่งนี้ ก็เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่นแล้วครับ"
"หลังจากนี้ก็คงเป็นการเริ่มงานจริงๆ คือช่วงนี้มันปิดฤดูกาลและนักเตะหลายๆคนก็ไปเข้าแคมป์ทีมชาติที่จะไปเล่นชิงแชมป์เอเชีย กว่าจะกลับมารวมทีมกันจริงๆก็ช่วงมีนาคมหรือเมษายนก่อนเปิดลีกพอดี ก็นักเตะจะเริ่มมาเข้าแคมป์กับสโมสรกันแล้ว เป้าหมายของทีมก็ยังเหมือนเดิม คือคว้าแชมป์ลีก และป้องกันแชมป์ฟุตซอลเอเชียให้ได้ ผมเคยผ่านการเป็นนักฟุตบอลมาก่อน ผมก็พอจะรู้ว่านักเตะคนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร เด็กคนนี้เป็นอย่างไร พอไปได้หรือไม่ ผมดูออกหมดเพราะผมเคยผ่านมันมาก่อน"
นอกเหนือจากการนั่งแท่นผู้อำนวยการสโมสรพีทีที บลูเวฟ ชลบุรี แล้ว "เบนจามิน" ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจในไทยในการเปิดทัวร์นาเมนต์ "ฟุตบอลไฟว์" (Football Five) เป็นการแข่งขันคล้ายๆกับฟุตซอล คือเล่น 5 ต่อ 5 แต่ใช้ฟุตบอลลูกใหญ่ทำการแข่งขัน และเป็นการแข่งขันในระดับสมัครเล่น คือเปิดแบบโอเพ่นใครจะฟอร์มทีมมาสมัครยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่ใช่นักฟุตบอลอาชีพก็พอ
"คือนอกจากช่วยงานที่พีทีที บลูเวฟแล้ว ผมก็กำลังทำธุรกิจเกี่ยวกับฟุตบอลไฟว์อยู่ หากใครเคยได้ยินเมื่อปีที่แล้วที่นักเตะระดับตำนานอย่าง พอล สโคลส์, มิเชล ซากาโด มาโชว์ฟุตบอลไฟว์ในไทย นั่นแหละผมเป็นคนนำมา เป็นบริษัทผมเอง ซึ่งจริงๆมันมีการเปิดรับสมัครแข่งขันไปแล้วในปีที่แล้ว เหมือนลองดู แต่ปีนี้จะเอาจริง จะมีการประชาสัมพันธ์และแข่งขันชิงเงินรางวัลกันแบบจริงๆจังๆ"
"นอกจากนั้นผมยังเปิดอะคาเดมีให้เด็กๆเยาวชนไทยอีกด้วย จริงๆเปิดมานานแล้วเหมือนกันแต่ไม่ค่อยได้ประชาสัมพันธ์เท่าไหร่ ผมพอจะมีคอนเน็คชั่นจากทางเมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ ผมติดต่อบุคคลากรทางนั้นมาช่วยงานที่ไทยตลอด อย่าง แซค ทอร์นตัน โค้ชประตูของดีซี ยูไนเต็ด และเคลาดิโอ เรย์น่า ประธานสโมสรนิวยอร์ค ซิตี้ 2 คนนั้นคือเพื่อนผมเลย เพื่อนผมโดยตรง คือเรียนมาด้วยกันตั้งแต่คอลเลจ เคยคุยๆกับเขาอยู่เหมือนกันในการแลกเปลี่ยนกับทางเมเจอร์ลีก แต่ต้องยอมรับว่ากระแสเมเจอร์ลีกในไทยยังไม่ค่อยเฟื่องฟูเท่าไหร่ สมมติถ้าผมติดต่อทีมมาอุ่นเครื่องจริงๆผมทำได้นะ แต่กระแสมันอาจจะไม่ดีมันคงจะไม่คุ้ม"
"เป้าหมายต่อไปของผม คงทำหน้าที่กับสโมสรพีทีที บลูเวฟ ให้ดีที่สุด ที่สำคัญผมจะเน้นเรื่องการส่งเด็กเยาวชนลงเล่นให้มากขึ้น ถึงแม้มันอาจจะทำให้ทีมผลงานออกมาไม่เปรี้ยงปร้าง แต่อย่างน้อยเราก็ยังมีเด็กที่เติบโตขึ้นมาประดับวงการต่อไป ยกตัวอย่างฟุตซอลเอฟเอ คัพ ล่าสุด ที่บลูเวฟเพิ่งตกรอบ คือเราส่งเด็กลงเกิน 80 เปอร์เซนต์ ตัวหลักเราจับพักหมดเพราะพวกเขาค่อนข้างล้าจากการกรำศึกหนัก อย่างเช่น ช้าง (กฤษฎา), อาร์ม (ศุภวุฒิ) หรือเนิร์ส (จิระวัฒน์) แต่ผมไม่โทษน้องๆเลยนะ พวกเขาทำเต็มที่แล้ว แต่ผมชมคู่แข่งอย่างเกษมบัณฑิตมากกว่าที่มาเล่นได้ดีจนเอาชนะจุดโทษเราไปได้"
"ชีวิตนอกวงการตอนนี้ผมก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็เลี้ยงลูก ลูกผมกำลังโตเลย ลูกสาวอายุ 11 ขวบ เขาดูจะชอบฟุตซอลด้วยนะ ผมเอาเขาไปดูบลูเวฟเล่นตลอด ล่าสุดที่ได้แชมป์ลีกผมก็เอาเขาขึ้นไปรับเหรียญตอนมอบรางวัลด้วย หลังจากนี้ก็อย่างที่บอกครับ ผมคงทำหน้าที่ผอ.บลูเวฟให้ดีที่สุด นำความสำเร็จมาให้ทีมควบคู่ไปกับการพัฒนาเยาวชนของไทยด้วย" เบน กล่าวทิ้งท้าย
หลังจากนี้เราคงต้องติดตามและเอาใจช่วย เบนจามิน จุง ทัฟเนล หรือ "เบน ซิลลี่ฟูล" กันต่อไป กับเส้นทางในสายที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก เขาจะพา "พีทีที บลูเวฟ ชลบุรี" ประสบความสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน ต้องติดตาม....