ผู้จัดการรายวัน 360 - จากทัวร์นาเมนต์กีฬาการต่อสู้ที่เริ่มต้นแบบไม่มีใครรู้จักและความนิยมห่างจากรายการใหญ่ระดับโลก มาถึงวันนี้ "วัน แชมเปียนชิป" รายการศิลปะการต่อสู้แห่งเอเชีย ภายใต้การดูแลของ ชาตรี ศิษย์ยอดธง ได้ยกสถานะตนเองสู่ สปอร์ต เอนเตอร์เทนเมนท์ อันดับ 1 ของเอเชียอย่างเต็มตัว ด้วยยอดผู้ชมและตัวเลขกำไรที่มากขึ้นแบบก้าวกระโดด ก่อนวางแผนการณ์ใหญ่ที่จะทำให้คอหมัดมวยทั่วโลกต้องเทใจให้รายการนี้ในปี 2018
วัน แชมเปียนชิป ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2011 โดยมีฐานกำลังอยู่ที่ สิงคโปร์ จากไอเดียริเริ่มของ ชาตรี ศิษย์ยอดธง อดีตนักมวยไทยที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ พร้อมเพื่อนๆที่ชื่นชอบกีฬาการต่อสู้แบบเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันรายการ วัน แชมเปียนชิป ได้สร้างฐานความนิยมขึ้นมาต่อเนื่อง จนกลายเป็นรายการกีฬาอันดับ 1 ของเอเชีย และมีบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกร่วมจับมือเป็นพันธมิตรคับคั่ง
กิจการมวยลูกกรงของ ชาตรี เดินหน้าไปด้วยดีและจัดการแข่งขันทุกเดือน ล่าสุดกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งภายใต้ชื่อว่า ONE: Immortal Persuit ดวลหมัดกันที่ สิงคโปร์ อินดอร์ สเตเดียม ประเทศสิงคโปร์ คืนวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน นี้ นอกจากผู้ชมจำนวนกว่า 12,000 ที่นั่งที่ตีตั๋วเข้ามาชมฮีโร่ของพวกเขาห้ำหั่นกับคู่ต่อสู้ คนที่ไม่สะดวกไปชมถึงสนามยังสามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่าน โซเชียล มีเดีย หรือสถานทีโทรทัศน์ต่างๆ ซึ่งมียอดวิวเพิ่มขึ้นจนทำเอาบิ๊กบอสลูกครึ่ง ไทย-ญี่ปุ่น ยิ้มไม่หุบ
"วัน แชมเปียนชิป ตอนนี้กลายเป็นรายการกีฬาที่ได้รับความนิยมมาก แรกเริ่มนั้นเรามียอดคนดูทาง โซเชียล มีเดีย แค่ 3 แสนวิว แต่ตอนนี้เพิ่มเป็น 2,500 ล้านวิวแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลา 3 ปี เท่านั้น นั่นทำให้ผมมีความสุขมากที่เห็นว่าคนเอเชียรัก วัน แชมเปียนชิป ขนาดนี้" ชาตรี กล่าวในวันแถลงข่าวการต่อสู้ครั้งล่าสุด
เมื่อมองถึงงบประมาณที่ใช้ตั้งแต่เริ่มแข่งครั้งแรก ชาตรี เผยอย่างปลาบปลื้มว่าตอนนี้ธุรกิจที่เขาสร้างได้งอกเงยเบ่งบานเต็มที่ และทำกำไรเกินกว่าที่คาดหวังไว้ "เริ่มแรกนั้นเราใช้งบลงทุนไป 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,270 ล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2011 ปัจจุบันตัวเลขกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีผู้สนับสนุนเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งเราก็ได้มีการประเมินตัวเลขกันและคิดว่าน่าจะได้กำไรถึง 1,000 ล้านเหรียญ (ประมาณ 32,760 ล้านบาท) ในอีก 6 เดือนข้างหน้า"
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ ชาตรี ยังไม่พึงพอใจเพียงเท่านี้เพราะกางแผงใหญ่ไว้เรียบร้อย ความตั้งใจคือนำการต่อสู้แบบ มิกซ์ มาร์เชียล อาร์ต ไปสร้างฐานคนดูในประเทศต่างๆนอกจากย่านอาเซียนที่จัดเป็นประจำอย่าง มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, กัมพูชา, เมียนมาร์ และ ไทย โดยจะเพิ่มขึ้นเป็นแข่งปีละ 24 สนามในปี 2018 พร้อมบุกเอเชียแผ่นดินใหญ่ทั้ง เซี่ยงไฮ้ จีน, โซล เกาหลีใต้ และ โตเกียว ญี่ปุ่น ดินแดนแห่งศิลปะการต่อสู้ ซึ่งมีรายการยอดนิยมอย่าง K-1 เป็นตัวชูโรง
อดีตนักมวยไทยที่ไปเติบโตที่ สหรัฐอเมริกา อธิบายเรื่องนี้ว่า "ปีหน้าเราเพิ่มจำนวนสนามเข้าไป ซึ่งประเทศใหญ่ๆที่จะไปก็มี เซี่ยงไฮ้ ของจีน, โซล เกาหลีใต้ และ โตเกียว ญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน ถึงญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มีรายการศิลปะการต่อสู้มากมาย แต่คิดว่าการบุกตลาดนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เราคือบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียเวลานี้ ไปมาแล้วทุกประเทศ และทุกแห่งก็ต้องการทัวร์นาเมนต์การต่อสู้แบบเรา ส่วนเรื่องการขยับขยายสู่ตลาดยุโรปยังไม่อยู่ในแผน เพราะผมเชื่อว่า เอเชีย คือทวีปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการนี้ เป็นตลาดใหญ่ มีประชากรกว่า 4,000 ล้านคน และอยากให้คนทั่วโลกเห็นว่าศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่เอเชีย"
สำหรับการต่อสู้ไฟต์ล่าสุด ONE: Immortal Persuit ที่จะเกิดขึ้นวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศมากมาย ไฮไลต์อยู่ที่คู่เอกซึ่งเป็นการป้องกันเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวทของ เบน แอสเกรน อดีตนักมวยปล้ำดีกรีโอลิมปิกของ สหรัฐอเมริกา ที่จะขึ้นสังเวียนเจอ ชินยะ อาโอกิ จอมเก๋าจาก ญี่ปุ่น ฝั่งของ แอสเกรน มีสถิติน่าเกรงขามต่อย 17 ครั้ง ยังไม่เคยพ่ายแพ้ใครในเวทีลูกกรง ขณะที่ อาโอกิ เคยเป็นเจ้าของเข็มขัดรุ่นไลท์เวท ก่อนผันตัวมาต่อยในรุ่นที่ใหญ่ขึ้นเพื่อจารึกชื่อตนเองเป็นนักชกที่เป็นแชมป์ 2 รุ่น
นอกจากคู่เอก ยังมีการดวลกันของนักชกเจ้าถิ่นอีกหลายคู่ อาทิ เมย์ อุย อดีตนักว่ายน้ำหญิงทีมชาติสิงคโปร์ เจอกับ วี เซรย์ คุช ดาวรุ่งสาวจากกัมพูชา ที่ผันตัวจากวงการมวยสมัครเล่นสู่สังเวียนกรงเหล็ก และ อาเมียร์ ข่าว ดาวรุ่งความหวังใหม่ของแดนลอดช่อง เจอ อาเดรียน แพง จอมเก๋าจาก ออสเตรเลีย น่าเสียดายว่าไม่มีนักสู้ไทยลงแข่งครั้งนี้ แต่พวกเขาจะกลับมาขึ้นสังเวียนต่อหน้าคนดูที่บ้านเกิด วันที่ 9 ธันวาคม ที่ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี