คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
นับตั้งแต่กีฬาเซปักตะกร้อ ได้รับการผลักดันจนสามารถบรรจุแข่งขันมหกรรมกีฬาแห่งเอเชีย หรือ เอเชียนเกมส์ เป็นครั้งแรก เมื่อปี 1990 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาที่ทัพนักกีฬาไทยสามารถโกยเหรียญทองได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ทั้งจากประเภททีมชาย ทีมหญิง และทีมชุดชาย กับทีมชุดหญิง โดยเฉพาะการแข่งขันที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา เราสามารถเก็บเกี่ยวเหรียญทองจากกีฬาชนิดนี้ถึง 4 เหรียญทองด้วยกัน จากทั้งหมดที่ทำได้ 12 เหรียญทอง ถือเป็นชนิดกีฬาที่เราเก็บเหรียญทองได้มากที่สุดเลยก็ว่าได้จากมหกรรมกีฬาครั้งนั้น
อย่างไรก็ตามเกิดเรื่องราวให้คนในวงการตะกร้อ รวมถึงอาจสะเทือนถึงวงการกีฬาไทย จนหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง เมื่อเจ้าภาพเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่จะจัดกันในปี 2018 อย่าง อินโดนีเซีย ประกาศจะตัดการแข่งขันรายการนี้ออกจากสาระบบ เรื่องนี้ทำเอา พล.ต.จารึก อารีราชการัณย์ รองประธาน และเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ซึ่งสวมหมวกอีกใบในตำแหน่งนายกสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย ต้องใช้กำลังภายในและภายนอกทั้งกับคณะกรรมการโอลิมปิกเอเชีย รวมถึงเจ้าภาพอินโดนีเซีย จนสามารถนำเซปักตะกร้อกลับไปสู่เอเชียนเกมส์แดนอิเหนาได้อีกครั้ง
แม้ว่าการตัดตะกร้อออกจากการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งนี้ไม่สำเร็จ แต่ดูท่าว่ากีฬาชนิดนี้อาจมีหนทางที่ยากลำบากในการเป็นชนิดกีฬาหลักของมหกรรมกีฬาแห่งทวีป เนื่องจากที่ผ่านมาดูเหมือนว่าทีมชาติไทย จะผูกขาดการคว้า 4 เหรียญทอง จากประเภทสำคัญอย่างทีมชาย ทีมหญิง และทีมชุดชาย ทีมชุดหญิง ส่วนเหรียญทอง ตะกร้อ 2 คน ก็แย่งกันระหว่างชาติอื่น อาทิ เมียนมา, ลาว และ เวียดนาม ขณะที่ชาติอื่นที่พยายามพัฒนาอย่าง จีน และญี่ปุ่น มีลุ้นเพียงเหรียญทองแดง แต่ชาติที่น่าจะยกมาตรฐานของตัวเองให้สูงขึ้นมีเพียง เกาหลีใต้ ที่คว้าถึง 4 เหรียญเงิน อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปดูจากการแข่งขันที่เอเชียนเกมส์ครั้งที่แล้ว จะเห็นได้ว่า มีนักกีฬาจาก 13 ชาติเท่านั้นที่ส่งเข้าแข่งขัน จากทั้ง 45 ประเทศ ที่สำคัญคือการแข่งขันทีมชุดชาย และทีมชุดหญิง มีเพียง 7 ชาติที่ส่งแข่งขัน
จากตัวเลขดังกล่าวน่าจะฟ้องให้เห็นได้ชัดว่ากีฬาเซปักตะกร้อนั้น อาจจะสอบตกในการเผยแพร่ให้ได้รับความนิยมในทวีปเอเชีย ซึ่งจะว่าไปเหตุผลที่ยังทำให้กีฬาชนิดนี้ยังอยู่ในเอเชียนเกมส์ได้คงเป็นเพราะบารมีของ พล.ต.จารึก เท่านั้น แต่ด้วยวัย 85 ปี เชื่อว่าคงใกล้ถึงเวลาที่จะวางมือเต็มที และหากถึงวันนั้นจริงๆ คงถึงเวลาที่ไม่มีกีฬาชนิดนี้ในเอเชียนเกมส์ ลองนึกดูว่าเหรียญทองของทีมชาติไทย จะหายไปทันที 4 เหรียญ จากอันดับ 6 ในเอเชียนเกมส์ครั้งที่แล้ว เราจะตกมาอยู่อันดับที่ 13 ของตารางทันที
นอกจากนี้ความหวังที่จะได้เห็นเซปักตะกร้อได้รับการบรรจุสู่โอลิมปิกเกมส์ ก็ดูเลือนลางเช่นกัน เพราะแม้กระทั้งในทวีปของเรายังมีเพียงแค่ 13 ชาติที่ส่งแข่งขัน คิดไปคิดมาแล้วเหมือนว่ากีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมน้อยกว่ากีฬามวยไทยเสียด้วยซ้ำ หากไม่มีปาฏิหารย์ใดๆ เกิดขึ้นคงต้องทำใจสำหรับการจากไปจากเอเชียนเกมส์อย่างถาวรในสักวันก็เป็นได้...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *