นาย นเร เหล่าวิชยา อธิบดีกรมพลศึกษา ได้ลาออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา โดยได้ส่งข้อความทางไปถึงข้าราชการและพนักงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาของกรมพลศึกษา ว่า ได้ขอลาออกจากหน้าที่การงาน เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกแทรกแซงการทำงาน
“เรียน ผู้บริหาร ข้าราชการและพนักงานกรมพลศึกษา
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ปลัดกระทรวงฯ มีคำสั่งแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักนันทนาการ กับ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรการพลศึกษา ในกรมพลศึกษา ทั้ง 2 ตำแหน่ง โดยไม่มีการแจ้งให้อธิบดีทราบเลย เท่ากับว่า ผู้บริหารได้เข้ามาแทรกแซงการทำงานของอธิบดี และเป็นการหมิ่นเกียรติกันอย่างรุนแรง ซึ่งในฐานะที่เป็นผู้บริหารกรมพลศึกษา ถือว่าเป็นการกระทำที่ทำให้ไม่สามารถบริหารงานในหน้าที่และภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงในการขับเคลื่อนแผนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และที่สำคัญ เป็นการไม่ให้ความเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีต่อตำแหน่งอธิบดีที่เป็นผู้บริหารกรม
ผมได้เรียนให้พวกเราทราบเมื่อคราวประชุมประจำเดือนเมื่อวันที่ 11 เม.ย. ว่า ผมเปรียบเสมือนโค้ชของทีมพลศึกษา สิ่งที่ต้องทำคือการนำทีมไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ และการนำทีมไปสู่ความสำเร็จได้ ต้องมีการวางตัวผู้เล่นที่เหมาะสม เมื่อผมไม่สามารถวางตัวผู้เล่นที่เหมาะในตำแหน่งที่สำคัญได้ ผมก็คงไม่สามารถนำทีมไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายได้ ผมจึงต้องพิจารณาตนเอง
ดังนั้น ผมจึงขอลาออกจากราชการ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถอดทนต่อการถูกแทรกแซงการบริหารงาน และไม่เคารพในเกียรติและศักด์ศรีที่ผู้บริหารควรมีต่อกันและกัน
ขอขอบคุณ ทุกท่านที่ให้การสนับสนุน ให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ของกรม ไปได้ด้วยดีตลอดเวลาที่เราทำงานด้วยกัน”
นาย นเร เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เบื้องลึกเบื้องหลังที่ถูกแทรกแซงการทำงาน เพราะในขั้นตอนการสรรหาผู้เหมาะสมมาทำหน้าที่ 2 ตำแหน่งใหญ่ในกรมพลศึกษา คือ ผู้อำนวยการสำนักนันทนาการ กับผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรการพลศึกษา ตนได้หารือนอกรอบกับทางปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยได้เสนอชื่อผู้เหมาะสมมารับตำแหน่งดังกล่าวทั้ง 2 ตำแหน่งไปแล้ว ซึ่งเวลานั้น ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นด้วยกับรายชื่อดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม มีคำสั่งแต่งตั้งคนที่มาทำหน้าที่ดังกล่าว คือ นางรุ่งอรุณ เขียวพุ่มพวง ผู้อำนวยการสำนักนันทนาการ และ นายพัชระ ตั้งพานิช ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรการพลศึกษา ซึ่งไม่ใช่คนที่ตนได้เสนอชื่อเข้าไป โดยการแต่งตั้งดังกล่าวไม่ได้มีการสอบถามใดๆ ก่อนเลย เป็นการแต่งตั้งแบบข้ามหัวผู้บังคับบัญชาอีกด้วย แถมในตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรการพลศึกษา ยังเป็นการแต่งตั้งแบบข้ามห้วยมาจากข้าราชการในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
“ผมได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และถี่ถ้วนแล้ว ในเมื่อเราไม่สามารถที่จะเลือกผู้ใต้บังคับบัญชาเองได้ เราจะอยู่ทำไม การทำแบบนี้เป็นการไม่ให้เกียรติกันอย่างมาก เวลานี้ผมได้ยื่นหนังสือลาออกผ่านระบบสารบัญตามขั้นตอนไปแล้ว” อดีตอธิบดีกรมพลฯ กล่าว