ผู้จัดการรายวัน 360 - นับตั้งแต่คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงตอนนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นั่งบัลลังก์ประมุขสมาคมกีฬาที่คนไทยทั้งประเทศให้ความสำคัญมากที่สุดครบขวบปี ดังนั้น MGR Sport ถือโอกาสเข้าพบ “บิ๊กอ๊อด” เพื่อเปิดใจ และเปิดแผนของการพัฒนาวงการลูกหนังไทยต่อไปในอีก 3 ปีที่เหลือ
โดย “บิ๊กอ๊อด” กล่าวสำหรับปีแรกที่เข้ามาทำงาน ภายใต้แคมเปญ “FAIR” เป็นปีหฤโหดอย่างแท้จริง เริ่มต้นจากเข้ามารับตำแหน่งแบบไม่มีการส่งมอบงานใดๆ ทั้งสิ้นจากสมาคมชุดเก่า แต่กลับมอบภาระหนี้สินจากที่ไม่จ่างภาษีสูงถึงเกือบ 200 ล้านบาท “ผมมารับงานแบบที่เรียกว่าแทบไม่มีอะไรมาให้บริหารเลย ขนาดตอนนั้นจะเข้าไปที่ทำการสมาคมยังเข้าไม่ได้ เพราะไม่มีกุญแจ ที่ตกใจคือมีการแจ้งเตือนเรื่องการค้างชำระหนี้จากกรมสรรพากร เป็นจำนวนเกือบ 200 ล้านบาท คือ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็มีหนี้มาให้ผมแล้ว เราก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหา ผมพยายามเจรจาเพื่อผ่อนจ่ายหนี้ก้อนนี้ แต่เขาแจ้งมาว่าต้องจ่ายมาก่อน 50 ล้านบาท เราก็จำเป็นต้องทำ ซึ่งผมเชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหานี้ให้หมดไปในยุคของผม และจะไม่ส่งมอบหนี้ หรือภาระต่างๆ ให้กับผู้บริหารงานสมาคมชุดใหม่แน่”
ขณะเดียวกัน นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย คนที่ 17 ตอบคำถามว่าอะไรคือผลงานชิ้นโบแดงในรอบ 1 ของตน ว่า “ผมว่ามันก็ทุกชิ้นที่ทำนะ ผมภูมิใจกับสิ่งที่ผมได้ทำ ยกตัวอย่างว่าในยุคการบริหารของผม สมาคมฟุตบอลฯ มีที่ทำการที่เปรียบเหมือนหน้าตาของคนไทยทั้งชาติด้วยการไปขอพื้นที่จากการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้เรามีอาคารที่ทำการที่มีเกียรติ มีศักดิ์ มีศรี ต่างจากการอยู่ใต้ถุนสนามศุภชลาศัย ที่ผมมองว่าอาจจะคับแคบไปหน่อย”
“ผมมีความสุขที่ได้เห็นการพัฒนาในทุกด้าน เราอยากให้ฟุตบอลไทยพัฒนา บุคลากรต่างๆ ของเราก็ต้องมีคุณภาพ ผมจึงเปิดอบรมโค้ชตั้งแต่ระดับเอไลเซน - ซีไลเซน และมีการอบรมโค้ชโปรไลเซนครั้งแรกในประเทศไทย, การอบรมผู้ตัดสิน และนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยให้มีประสิทธิภาพตัดสิน และการเขียนแผนพัฒนาวงการฟุตบอลระยาวยาวถึง 20 ปี”
ทั้งนี้ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการก้าวสู่ปีที่ 2 ของตนภายใต้แคมเปญใหม่ “Come Together” ว่า “คำนี้ผมเป็นคนคิดขึ้นมาเอง มีหมายความว่าทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะเป็นสมาคมฯ นักฟุตบอล ทีมงานสตาฟฟ์โค้ช สื่อมวลชน และ แฟนบอล โดยเรามีเป้าหมายคือ แก้ว 3 ประการ เรื่องแรก เรามีเป้าหมายนำทีมฟุตบอลไทย ไปแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งตอนนั้นทวีปเอเชีย จะได้โควตาเพิ่มขึ้นในรอบสุดท้าย บอกตามตรงผมไม่ได้คิดว่าจะอยู่ในตำแหน่งนายกสมาคมไปจนถึงตอนนั้น แต่ใครก็ตามที่มาบริหารสมาคม จะได้เจอกับรูปแบบที่เราวางรากฐานไว้ ไม่เจอภาระแบบที่ผมเจอแน่”
“เรื่องที่สอง คือ เรื่องอคาเดมีของสมาคมที่เพิ่งเซ็นสัญญาให้ เอคโคโน เข้ามาดูแลจัดการวางระบบให้ เพราะเราไม่สามารถได้นักเตะที่มีพรสวรรค์แบบฟ้าประทานมา เราต้องสร้างนักเตะเอง หากอยากไปฟุตบอลโลก เราก็ต้องสร้างตั้งแต่ยังเด็ก เราต้องมีระบบที่เป็นของตัวเอง หลายคนอาจจะมองว่า เอคโคโน มาจากสเปน แล้วเราจะเล่นฟุตบอลเหมือนสเปน เริ่มแรกมันอาจจะคล้ายคลึง แต่สิ่งที่เราหารือกัน คือ เราจะต้องมี ไทยแลนด์เวย์ ซึ่งเป็นแนวทางการเล่นฟุตบอในรูปแบบของเราเอง”
“สุดท้ายเป็นเรื่องของ ซอคเกอร์ สเตเดียม ผมชอบที่จะเลียนแบบญี่ปุ่น ผมอยากเห็นเราพัฒนาเหมือนกับญี่ปุ่น เชื่อไหมว่า ประเทศไทยของเรามีสนามฟุตบอลที่ได้มาตรฐานตามที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา รับรองน้อยมาก เทียบกับเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาคอาเซียนอย่าง มาเลเซีย, อินโดนีเซีย เขามีมากกว่าเราอีก คิดดูสิอนาคตอาเซียนมีแนวความคิดเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก หากว่าเราไม่มีสนามแข่งขันที่ดีมากเพียงพอ เราตกขบวนแน่ ผมจึงเสนอแนวความคิดนี้ด้วยการขอที่จากรัฐบาล และระดมทุนจากทั้งประชาชน เอกชน มาถือหุ้นสนามฟุตบอลอันเป็นบ้านของฟุตบอลไทย แน่นอนผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ และผมจะทำให้ดีที่สุด” พล.ต.อ.สมยศ กล่าว