ผู้จัดการรายวัน 360 - หลังจากที่มีกระแสเรื่องการที่หลายสโมสรฟุตบอลในประเทศไทย ให้ความสนใจที่จะระดมทุนด้วยการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นมิติใหม่แห่งวงการกีฬา เนื่องจากฟุตบอลถือเป็นกีฬาที่สร้างรายได้และเป็นธุรกิจที่น่าสนใจอีกแขนงหนึ่ง และได้เสียงตอบรับจากคนในประเทศ
ทว่า การที่สโมสรจะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์นั้น ต้องยอมรับว่า จะต้องมีการเตรียมตัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการ ทรัพย์สินของสโมสร หรือจะเป็นรายรับรายจ่าย ที่สโมสรจะต้องชี้แจงผู้ถือหุ้นได้แบบโปร่งใส
โดย “บิ๊กโจ” พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาฝ่ายต่างประเทศและโฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้กล่าวกรณีที่สโมสรในไทยจะเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ว่า จะเป็นเรื่องที่ดีถ้าจะมีสโมสรฟุตบอลจะเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
“จริงๆ แล้ว การเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ของสโมสรฟุตบอลในบ้านเรา มันถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในอีกระดับหนึ่ง เนื่องจากสโมสรต่าง ก็เป็นบริษัท จำกัด กันทุกสโมสร ถ้าการที่จะได้เข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะทำให้แฟนบอลสามารถมาซื้อหุ้นและเป็นเจ้าของร่วมกันได้ และยังเป็นการระดมทุนให้สโมสรได้มีกำไรเข้ามาได้อีกมากขึ้น”
ในส่วนของระยะเวลากำหนดที่จะให้สโมสรต่างๆ เข้าตลาดหุ้น โฆษกสมาคมลูกหนังไทยได้กล่าวต่ออีกว่า “คงต้องให้แล้วแต่ทางสโมสรเป็นคนตัดสินใจ ซึ่งสมาคมไม่สามารถช่วยในการตัดสินใจได้ แต่จะคอยดูอยู่ห่าง ซึ่งถ้าหากเข้าไปแล้วได้ผลตอบรับดียิ่งขึ้นก็อาจจะมีการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดให้กับสโมสรและสมาคมในอนาคต”
ด้าน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ภายใต้การบริหารของ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร ถือว่าเป็นสโมสรที่มีการจัดการระบบอย่างเป็นมาตรฐาน ก็กำลังจะเตรียมตัวเข้าตลาดหุ้นในปี 2561 ที่จะถึงนี้
ซึ่งนายใหญ่อย่าง เนวิน ได้กล่าวว่า “ทางสโมสรได้มีการวางแผนไว้ว่าในปี 2561 จะนำทีมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมันมีข้อดี เนื่องจากจะได้เป็นการระดมทุนของผู้ถือหุ้น ทำให้สโมสรมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะทุกอย่างต้องชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ หากบัญชีมีตัวแดง หรือบริหารทีมแบบขาดทุน บอกเลยว่ายากมาก ไม่ใช่ว่าทุกทีมจะทำแบบนี้ได้”
ส่วน “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แชมป์ไทยลีกฤดูกาล 2016 ก็ได้มีการเตรียมการเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกเช่นกัน โดย พงษ์ศักดิ์ ผลอนันต์ ประธานสโมสร ได้เผยว่า ทางสโมสรได้มีการเตรียมตัวเข้าตลาดหุ้นแล้วเช่นกัน
“ในเรื่องการที่สโมสรจะเข้าตลาดหุ้น จะต้องมีการเตรียมตัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัญชี ซึ่งการเตรียมตัวแน่นอนว่า มันมีความวุ่นวาย และต้องใช้ระยะเวลานาน ซึ่งอย่างต่ำต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อยอีก 1 ปี”
แน่นอนว่า การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ จะต้องมีการตรวจสอบเรื่องที่มาของรายได้และรายจ่ายของสโมสร ซึ่งทางด้านสองบิ๊กทีมตอนนี้อยู่ในช่วงที่กำลังเตรียมตัวเอกสารให้เรียบร้อย และสามารถให้ผู้ถือหุ้นทุกรายสามารถตรวจสอบที่มาของเม็ดเงินที่เข้ามาในสโมสร เพื่อเตรียมเข้าสู่ตลาดเงินตลาดทุนอย่างเต็มตัวในอนาคตอันใกล้
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *