“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ สั่งลุย เฟ้นเด็กต่างจังหวัดทั่วประเทศ ฟิตเข้ม เป้าหมายแรกเจ้าสระ “ซีเอจกรุ๊ป” ในปีหน้า
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร ครั้งที่ 2/2559 ที่ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด กรมทหารราบที่ 1 ถนนวิภาวดีรังสิต กทม. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2559 สรุปสาระที่น่าสนใจได้ ดังนี้
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แจ้งที่ประชุมว่า หลังจากการประชุมครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาสำคัญของสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ คือ การขาดสระฝึกซ้อมที่แน่นอน ทำให้แผนการเตรียมทีมชาติ และการสร้างนักว่ายน้ำรุ่นใหม่มีปัญหาและไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร จึงทำหนังสือถึง พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับงานด้านกีฬา เพื่อขอความอนุเคราะห์ และการสนับสนุนในการจัดหา หรือก่อสร้างสระว่ายน้ำ สำหรับสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ เป็นการถาวรต่อไป จึงมอบหมายให้ นายธนาวิชญ์ โถสกุล เลขาธิการสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ เป็นผู้ประสานงานเรื่องนี้ กับหน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องโดยตรงต่อไป
ที่ประชุมรับรองหลักการโครงสร้างการบริหาร และแผนยุทธศาสตร์สมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ พ.ศ. 2559 ถึง พ.ศ. 2563 กรณีดังกล่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้นโยบายว่า ต้องมีการปรับปรุงทุกอย่างให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด โดยเฉพาะโครงสร้างการบริหารนั้น ต้องกระชับ ชัดเจน ไม่ซับซ้อน สำหรับเรื่องงบประมาณและการเงินนั้น ในฐานะนายกสมาคมจะรับผิดชอบ ร่วมกับเหรัญญิกโดยตรง เพื่อความโปร่งใสในทุกขั้นตอน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้นโยบายการสร้างนักกีฬาว่ายน้ำรุ่นใหม่ เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ฯ ปรากฏผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด คือ ให้เลขาธิการและฝ่ายเทคนิค ร่วมกับสโมสรสมาชิกทุกแห่ง ทำการคัดเลือกนักว่ายน้ำ “ช้างเผือก” จากทั่วประเทศ ในรุ่นอายุต่างๆ ประมาณ 15 - 20 คน เพื่อทำการฝึกซ้อมเก็บตัวแบบเต็มเวลา เป็นโครงการระยะยาวต่อเนื่อง 2 - 4 ปีขึ้นไป โดยมีเป้าหมายเฉพาะหน้า คือ การสร้างทีมว่ายน้ำไทยให้เป็นอันดับ 1 ในการแข่งขันว่ายน้ำอาเซียน เอจ กรุ๊ป หรือ “ซีเอจกรุ๊ป” ครั้งที่ 41 ที่บรูไนเป็นเจ้าภาพในปีหน้า 2560 ต่อไป
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการแข่งขันว่ายน้ำอาเซียน เอจ กรุ๊ป ครั้งที่ 40 ที่สระว่ายน้ำ ม.อัสสัมชัญ (เอแบค) เมื่อวันที่ 9 - 13 ธันวาคม 2559 ซึ่งไทยได้เหรียญรางวัลเป็นอันดับ 4 รองจาก อันดับ 1 เวียดนาม 39 เหรียญทอง, อันดับ 2 อินโดนีเซีย 24 เหรียญทอง, อันดับ 3 สิงคโปร์ 18 เหรียญทอง และอันดับ 4 ไทย 17 เหรียญทอง
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *