คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
หลายคนคงอุทานว่าบ้าไปแล้ว กับมูลค่าการประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ศึกลูกหนัง โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก ครั้งใหม่ ปี 2017-2019 ที่คาดการณ์ว่าจะพุ่งสูงถึง 2,700 ล้านบาท หรือเพิ่มมากกว่าการประมูลครั้งก่อน 1,800 ล้านบาท ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
แต่หากใครได้ชมบิ๊กแมตช์ระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปะทะ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หรือการเจอกันของทีมโซนท้ายตารางอย่าง การท่าเรือ เอฟซี พบ บีอีซี เทโรศาสน รวมถึงเกมอื่นๆที่ห้ำหั่นกันต่อเนื่องทั้ง เสาร์-อาทิตย์-พุธ(กลางสัปดาห์) คงรู้ดีว่าทุกวันนี้ลีกไทยน่าติดตามขนาดไหน จนกระแสบอลไทยพุ่งทะลุปรอทแซงหน้า พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ที่ครองใจคอลูกหนังบ้านเรามายาวนานไปแล้ว แถมยังไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดชะงักแต่อย่างใด
จึงไม่แปลกใจที่จะมีหลายฝ่ายต้องการเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากความสำเร็จนี้ โดยสิทธิ์ใหญ่สุดอย่างผู้ดูแลสิทธิ์ประโยชน์ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ยังเป็นของ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ที่เซ็นยาว 5 ปี คือ 2013-2017 ขณะที่ผู้สนับสนุนหลัก ไทย พรีเมียร์ ลีก ยังคงเป็น โตโยต้า ที่ได้บรรลุข้อตกลงขยายสัญญาฉบับใหม่ต่อไปอีก 3 ปีแล้ว (ฤดูกาล 2016-2018) เหลือแต่เพียง ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ที่เจ้าของปัจจุบันอย่าง ทรูวิชั่นส์ เหลือสัญญาฤดูกาลหน้า 2016 เป็นปีสุดท้าย จาก 3 ปีที่ได้มา(2014-2016) และจะมีการประมูลรอบใหม่สำหรับสิทธิ์ปี 2017-2019 ภายในปีนี้
ทำให้มีการจับตาผู้ประกอบการหลายเจ้าว่านอกจาก ทรูวิชั่นส์ ที่จะป้องกันแชมป์แน่นอนแล้ว จะมีรายใดยื่นซองชิงชัยบ้าง โดยล่าสุดเป็น “ฟ็อกซ์” (FOX) บริษัทมัลติมีเดียชั้นนำระดับโลก ที่มีฐานทั้งยุโรป และเอเชีย ออกตัวรายแรกว่าสนใจ และพร้อมทุ่มทุนสู้เสียด้วย โดยในเอเชียนั้นฟ็อกซ์มีลิขสิทธิ์กีฬาในมือมากมาย อาทิ พรีเมียร์ ลีก ในมาเลเซีย, เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก, บุนเดสลีกา, เทนนิส วิมเบอร์ดัน, กอล์ฟ เดอะ มาสเตอร์ ฯลฯ
เท่าที่ทราบ “ฟ็อกซ์” หวังที่จะฮุบ ไทย พรีเมียร์ ลีก แล้วกระจายการถ่ายทอดสดไปยังประเทศอื่นๆเหมือนคอนเทนต์ต่างๆที่ตนมี ซึ่งหากมองในแง่ดีก็เป็นการโปรโมตฟุตบอลไทยไปในตัว เชื่อว่าจุดนี้ฟ็อกซ์พร้อมอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ การถ่ายทอดสดในประเทศจะเป็นเช่นไร? เนื่องจากในธุรกิจบอลไทย ฟ็อกซ์ยังเป็นมือใหม่ ศักยภาพในการลงพื้นที่ถ่ายทอดสดในแต่ละสนามยังเทียบ ทรูวิชั่นส์ ที่บุกเบิกมานานแล้วไม่ได้ จึงน่าสนใจไม่น้อยว่าถ้าได้มาแล้วจะจัดการอย่างไร อาจจะแบ่งสิทธิ์ขายต่อให้กับเจ้าเดิมซึ่งเป็นพันธมิตรซี้ปึ้กกันอยู่ก็เป็นได้
แต่หากเป็นผู้ประกอบการสัญชาติไทยแท้เจ้าอื่นได้ไป เช่น ซีทีเอช แกรมมี่ อาร์เอส หรือช่องดิจิตอลทีวีอื่นๆ อาจจะนำไปบริหารจัดการด้วยตัวเอง ซึ่งแฟนบอลก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนช่องทางในการรับชมบ้างเล็กน้อย
ทั้งนี้ทั้งนั้นแฟนบอลอย่าเพิ่งไปตั้งแง่เลยว่าใครจะได้ไป เพราะหากผู้ที่ได้สิทธิ์ไปบริหารจัดการไม่เข้าท่า การถ่ายทอดสดห่วยกว่าที่เคยมีมา สักวันกระแสตอบรับก็จะลดลงแล้วก็เจ๊งและเข็ดไปเอง ปล่อยให้แย่งกันประมูลกันแบบนี้ดีแล้ว ยิ่งยอดเงินสูง ส่วนแบ่งที่สโมสรจะได้รับก็เพิ่มขึ้น มีสตางค์ไปจ้างผู้เล่นดีๆมากขึ้น บอลยิ่งสนุกขึ้น คิดง่ายๆ ทุกวันนี้ลีกสูงสุดได้รับส่วนแบ่ง 20 ล้านบาทต่อปี ถ้าเพิ่มอีก 50 เปอร์เซ็นต์ เป็น 30 ล้านบาทต่อปี หารเฉลี่ยแล้ว 2.5 ล้านบาทต่อเดือน ทุ่นค่าจ้างผู้เล่นอย่าง ดิโอโก หลุยส์ ซานโต หรือ มาริโอ ยูรอฟสกี ได้มากโข
ฟุตบอลไทยเป็นธุรกิจเต็มตัวแล้ว สมาคมฟุตบอลฯในฐานะเจ้าของสิทธิ์จึงจำเป็นต้องเลือกผลประโยชน์ที่คุ้มค่าที่สุดให้กับสโมสร ถ้ามีใครที่กล้าพอจะทุ่มเงินขนาดนี้ก็ต้องยอมให้เขาไปแหละครับ
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!***
หลายคนคงอุทานว่าบ้าไปแล้ว กับมูลค่าการประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ศึกลูกหนัง โตโยต้า ไทย พรีเมียร์ ลีก ครั้งใหม่ ปี 2017-2019 ที่คาดการณ์ว่าจะพุ่งสูงถึง 2,700 ล้านบาท หรือเพิ่มมากกว่าการประมูลครั้งก่อน 1,800 ล้านบาท ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
แต่หากใครได้ชมบิ๊กแมตช์ระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปะทะ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หรือการเจอกันของทีมโซนท้ายตารางอย่าง การท่าเรือ เอฟซี พบ บีอีซี เทโรศาสน รวมถึงเกมอื่นๆที่ห้ำหั่นกันต่อเนื่องทั้ง เสาร์-อาทิตย์-พุธ(กลางสัปดาห์) คงรู้ดีว่าทุกวันนี้ลีกไทยน่าติดตามขนาดไหน จนกระแสบอลไทยพุ่งทะลุปรอทแซงหน้า พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ที่ครองใจคอลูกหนังบ้านเรามายาวนานไปแล้ว แถมยังไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดชะงักแต่อย่างใด
จึงไม่แปลกใจที่จะมีหลายฝ่ายต้องการเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากความสำเร็จนี้ โดยสิทธิ์ใหญ่สุดอย่างผู้ดูแลสิทธิ์ประโยชน์ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ยังเป็นของ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ที่เซ็นยาว 5 ปี คือ 2013-2017 ขณะที่ผู้สนับสนุนหลัก ไทย พรีเมียร์ ลีก ยังคงเป็น โตโยต้า ที่ได้บรรลุข้อตกลงขยายสัญญาฉบับใหม่ต่อไปอีก 3 ปีแล้ว (ฤดูกาล 2016-2018) เหลือแต่เพียง ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ที่เจ้าของปัจจุบันอย่าง ทรูวิชั่นส์ เหลือสัญญาฤดูกาลหน้า 2016 เป็นปีสุดท้าย จาก 3 ปีที่ได้มา(2014-2016) และจะมีการประมูลรอบใหม่สำหรับสิทธิ์ปี 2017-2019 ภายในปีนี้
ทำให้มีการจับตาผู้ประกอบการหลายเจ้าว่านอกจาก ทรูวิชั่นส์ ที่จะป้องกันแชมป์แน่นอนแล้ว จะมีรายใดยื่นซองชิงชัยบ้าง โดยล่าสุดเป็น “ฟ็อกซ์” (FOX) บริษัทมัลติมีเดียชั้นนำระดับโลก ที่มีฐานทั้งยุโรป และเอเชีย ออกตัวรายแรกว่าสนใจ และพร้อมทุ่มทุนสู้เสียด้วย โดยในเอเชียนั้นฟ็อกซ์มีลิขสิทธิ์กีฬาในมือมากมาย อาทิ พรีเมียร์ ลีก ในมาเลเซีย, เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก, บุนเดสลีกา, เทนนิส วิมเบอร์ดัน, กอล์ฟ เดอะ มาสเตอร์ ฯลฯ
เท่าที่ทราบ “ฟ็อกซ์” หวังที่จะฮุบ ไทย พรีเมียร์ ลีก แล้วกระจายการถ่ายทอดสดไปยังประเทศอื่นๆเหมือนคอนเทนต์ต่างๆที่ตนมี ซึ่งหากมองในแง่ดีก็เป็นการโปรโมตฟุตบอลไทยไปในตัว เชื่อว่าจุดนี้ฟ็อกซ์พร้อมอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ การถ่ายทอดสดในประเทศจะเป็นเช่นไร? เนื่องจากในธุรกิจบอลไทย ฟ็อกซ์ยังเป็นมือใหม่ ศักยภาพในการลงพื้นที่ถ่ายทอดสดในแต่ละสนามยังเทียบ ทรูวิชั่นส์ ที่บุกเบิกมานานแล้วไม่ได้ จึงน่าสนใจไม่น้อยว่าถ้าได้มาแล้วจะจัดการอย่างไร อาจจะแบ่งสิทธิ์ขายต่อให้กับเจ้าเดิมซึ่งเป็นพันธมิตรซี้ปึ้กกันอยู่ก็เป็นได้
แต่หากเป็นผู้ประกอบการสัญชาติไทยแท้เจ้าอื่นได้ไป เช่น ซีทีเอช แกรมมี่ อาร์เอส หรือช่องดิจิตอลทีวีอื่นๆ อาจจะนำไปบริหารจัดการด้วยตัวเอง ซึ่งแฟนบอลก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนช่องทางในการรับชมบ้างเล็กน้อย
ทั้งนี้ทั้งนั้นแฟนบอลอย่าเพิ่งไปตั้งแง่เลยว่าใครจะได้ไป เพราะหากผู้ที่ได้สิทธิ์ไปบริหารจัดการไม่เข้าท่า การถ่ายทอดสดห่วยกว่าที่เคยมีมา สักวันกระแสตอบรับก็จะลดลงแล้วก็เจ๊งและเข็ดไปเอง ปล่อยให้แย่งกันประมูลกันแบบนี้ดีแล้ว ยิ่งยอดเงินสูง ส่วนแบ่งที่สโมสรจะได้รับก็เพิ่มขึ้น มีสตางค์ไปจ้างผู้เล่นดีๆมากขึ้น บอลยิ่งสนุกขึ้น คิดง่ายๆ ทุกวันนี้ลีกสูงสุดได้รับส่วนแบ่ง 20 ล้านบาทต่อปี ถ้าเพิ่มอีก 50 เปอร์เซ็นต์ เป็น 30 ล้านบาทต่อปี หารเฉลี่ยแล้ว 2.5 ล้านบาทต่อเดือน ทุ่นค่าจ้างผู้เล่นอย่าง ดิโอโก หลุยส์ ซานโต หรือ มาริโอ ยูรอฟสกี ได้มากโข
ฟุตบอลไทยเป็นธุรกิจเต็มตัวแล้ว สมาคมฟุตบอลฯในฐานะเจ้าของสิทธิ์จึงจำเป็นต้องเลือกผลประโยชน์ที่คุ้มค่าที่สุดให้กับสโมสร ถ้ามีใครที่กล้าพอจะทุ่มเงินขนาดนี้ก็ต้องยอมให้เขาไปแหละครับ
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!***