ASTVผู้จัดการรายวัน - กองเชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย เพิ่งได้รับเสียงชื่นชมไปทั่วโลกจากภาพช่วยกันเก็บขยะ หลังจบเกมนัดเปิดสนามศึก “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014” ที่เฉือนชนะเจ้าภาพ สิงคโปร์ 2-1 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่านักเตะ “ช้างศึก” จะเดินทางไปแข่งขันไกลเพียงใด มุมไหนของโลก เราก็มักจะเห็นกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “เชียร์ไทย พาวเวอร์” ตามไปส่งเสียงเชียร์ข้างสนามเสมอ
ย้อนกลับไปถึงวันที่ “เชียร์ไทย พาวเวอร์” เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ชัยวัฒน์ แก้วผลึก ประธานชมรมเชียร์ไทย เปิดเผยให้เราฟังว่า เป็นการริเริ่มมาจากแนวคิดของ พินิจ งามพริ้ง เมื่อปี 2544 ในช่วงที่ฟุตบอลไทยมีกองเชียร์เข้าไปในสนามบางตาเหลือเกิน
“เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ประมาณปี 2544 ด้วยเหตุผลที่ตอนนั้น บอลนอกได้รับความนิยม แต่ฟุตบอลไทยถูกคนไทยด้วยกันเองมองข้าม เวลาไปแข่งขันที่ไหนไม่ค่อยมีคนเข้าไปเชียร์ ทำให้ภาพรวมดูเหมือนจะไม่พัฒนาเท่าชาติอื่น จึงตั้งชมรมเพื่อเชียร์ให้สนุก ตื่นเต้น มีรูปแบบ มาถึงปัจจุบัน” ชัยวัฒน์ เผย
ชัยวัฒน์ ยังโอดว่าช่วงแรกหาสมาชิกยากมาก เนื่องจากยังไม่มี โซเชียลมีเดีย มาเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ “ช่วงแรกดึงคนเข้ากลุ่มโดยพูดคุยกันปากต่อปากและทางโทรศัพท์ รวมทั้งการจัดอีเวนต์ จัดกิจกรรม ถือว่ายากมากเพราะตอนนั้นเรายังไม่มี โซเชียล มีเดียที่ประชาสัมพันธ์ทุกคนต้องทำงานหนักอย่างมากเพื่อ ชวนแฟนบอลไทยเข้าไปชม แต่ในปัจจุบันมีการใช้ โซเชียลเน็ตเวิร์ก เว็บไซต์ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กเป็นหลัก จึงทำให้มีสมาชิกมากขึ้น จนตอนนี้มีคนสมัครเป็นสมาชิก เชียร์ไทย พาวเวอร์ หลักพันคนไปแล้ว”
แน่นอนว่าการเดินทางไปเชียร์ตามประเทศต่างๆ ต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะ แต่ชมรมไม่ได้งบประมาณจากหน่วยงานหรือองค์กรใดทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องของใจล้วนๆ “เวลาเดินทางไปเชียร์ทีมชาติเวลามีแมตช์การแข่งขันต่างประเทศ กลุ่มของเราไม่มีสปอนเซอร์ ไปกันเอง ทุกอย่างจัดการเอง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการเดินทาง ที่พัก อย่างล่าสุดที่ไปเชียร์ใน การแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ที่สิงคโปร์ ทางกลุ่มวางแผนกันมา 3 - 4 เดือน ทางสมาคมฟุตบอลฯก็ช่วยเหลือบ้าง เช่น การประสานงานเวลาเดินทางไปต่างประเทศ โควตาของบัตรการแข่งขัน แต่ถ้าเรื่องของงบประมาณเราจะเป็นฝ่ายจัดการเองทั้งหมด” ชัยวัฒน์ เผย
ที่จะขาดไม่ได้สำหรับการส่งแรงใจจากอัฒจันทร์ลงสู่สนาม ก็คือ อุปกรณ์การเชียร์ ซึ่งหลักๆ จะมีธงไตรรงค์ผืนมหึมาที่คอยกางคลุมแฟนบอลไทยตอนเปิดสนามการแข่งขันและเวลายิงประตูได้ “อุปกรณ์การเชียร์ของเรา หลักๆ เลยก็จะมีธงผืนใหญ่หนึ่งผืน จะสังเกตได้เวลาที่เริ่มการแข่งขัน หรือเวลาที่ทีมชาติไทย ทำประตูได้ จะมีธงคลุมทุกคนไว้และช่วยกันสะบัด ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ก็จะเป็นกลอง ส่วนจุดพลุแฟร์ ก็เป็นกองเชียร์กลุ่มหลังๆ ที่เข้ามา ตรงนี้ถือว่าเป็นการเชียร์ที่ต่างกันกับรุ่นก่อนๆ แต่จุดหมายคืออยากให้ทีมชาติไทยชนะเช่นเดียวกัน”
ทั้งนี้ ประธานกลุ่มเชียร์ไทย ยังเผยถึงเหตุผลที่ต้องรวบรวมสมาชิก ทั้งที่แต่ละคนในกลุ่มต้องรับภาระทั้งค่าใช้จ่ายเวลาเดินทางไปเชียร์ถึงต่างแดน ไม่ว่าจะเป็นค่าที่พัก ค่าเดินทาง รวมไปถึงต้องลาหยุดจากงานประจำ เพื่อไปเชียร์ทีมชาติไทยแบบเกาะขอบสนามอีกด้วยว่า ที่ทำไปเพราะอยากให้คนไทยสำนึกรักในชาติตัวเอง และมีความเชื่อว่า ส่วนหนึ่งที่ ฟุตบอลชาติอื่นประสบความสำเร็จได้เพราะเสียงเชียร์ของ ผู้เล่นคนที่ 12 เหล่านั้น “ทำเพื่อรวบรวมคนที่มีความคิดเหมือนกัน ปลูกฝังคนไทยให้สร้างความสำเร็จด้วยตนเอง ดีกว่าชื่นชมความสำเร็จชาติอื่น ที่ต่างชาติเขาประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งก็เพราะการฝึกซ้อมและส่วนหนึ่งก็เพราะแรงใจจากแฟนบอลด้วย”
มาถึงตรงนี้ต้องขอบอกว่ากลุ่ม เชียร์ไทย นั้นมีสปริตอันแรงกล้าและมีจิตใจที่น่าคารวะเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาศรัทธาใน ฟุตบอลไทย และอยากเห็นชาติของตัวเองพัฒนา แม้ว่าจะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ หรือสปอนเซอร์ที่มีกำลังทรัพย์เข้ามาหนุน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ ผู้เล่นคนที่ 12 ย่อท้อ พร้อมเดินร่วมทางเคียงข้าง “ช้างศึก” ตลอดไป ดั่งสโลแกนของกลุ่มที่เป็นวลีฮิตในตอนนี้ว่า “บอลนอกแค่สะใจ บอลไทยอยู่ในสายเลือด”
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *