เอเยนซี - ช่วงซัมเมอร์นี้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คือสโมสรที่ได้ชื่อว่าตกแต่งทัพมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาคู่แข่งบนเวที พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ โดยมีโอกาสที่ยอดใช้เงินเสริมทัพจะพุ่งแตะหลัก 100 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,500 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม นักเตะที่เข้ามายังไม่มีใครฉายแววคู่ควรกับตำแหน่งเบอร์ 7 ของถิ่น แอนฟิลด์ จึงถือเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจอย่างยิ่ง
ลิเวอร์พูล ขาย หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัย ให้ บาร์เซโลนา แลกกับเงิน 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,125 ล้านบาท) ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่านักเตะที่สวมหมายเลข 7 รายนี้เมื่อฤดูกาลที่แล้วฝากผลงานกระฉ่อนขนาดไหนพาทีมซิวอันดับ 2 พรีเมียร์ ลีก ด้วยการซัดไป 31 ประตู ส่วนตัวคว้ารองเท้าทองคำมาครอง ขณะที่ต้นสังกัดได้กลับไปเล่น ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก
ดังนั้น เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือ ลิเวอร์พูล ต้องเดินหน้าหานักเตะหมายเลข 7 คนใหม่ต่อไป เพราะถิ่น แอนฟิลด์ ก็มีเรื่องเล่าระดับตำนานของผู้เล่นที่สวมใส่เบอร์นี้เหมือนกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยไม่ใช่แค่ผลเรื่องการตลาดอย่างเดียว แต่คือคนที่จะมาแบกทีม ซึ่งพิจารณาจากรายชื่อแข้งป้ายแดงยังไม่มีใครคู่ควรเลย ตอนนี้เหลือคนเดียวที่ยังไร้เบอร์คือ ลาซาร์ มาร์โควิช ปีกชาวเซิร์บ ส่วน 2 กองกลาง อดัม ลัลลานา จาก เซาแธมป์ตัน เลือก 20 เอ็มเร คาน จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน เลือก 23 และ ริคกี แลมเบิร์ต กองหน้า เซาแธมป์ตัน เบอร์ 9
ทั้งหมดยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเอง อีกทั้งผลงานการซื้อตัวของ ร็อดเจอร์ส นับตั้งแต่มาคุมถิ่น แอนฟิลด์ มีเข้าแต่แค่คนเดียวคือ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ กองหน้าจาก เชลซี ค่าตัว 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 660 ล้านบาท) ย้ายมาเมื่อต้นปี 2013 โดยปีที่แล้วยิงไป 21 ประตูใน พรีเมียร์ ลีก ซึ่งปีหน้าคงเป็นกองหน้าแกนหลักแทน ซัวเรซ แต่เจ้าตัวไม่มีวี่แววเปลี่ยนเบอร์จากเลข 15 ส่วนคนที่กำลังเดินหน้าคว้าอย่าง โลอิค เรมี หอกชาวฝรั่งเศสของ ควีนสปาร์ก เรนเจอร์ส ดูแล้วชั้นก็ยังไม่ถึง ขณะที่ ดิว็อค โอริกี ศูนย์หน้าทีมชาติเบลเยียม อาจซื้อและปล่อยให้ ลีลล์ ยืมตัวต่อไป
ย้อนอดีตไปนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่เคยสวมเบอร์ 7 ล้วนชื่อชั้นระดับพระกาฬทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น เควิน คีแกน, เคนนี ดัลกลิช, ไนเจล สแพ็คแมน, จอห์น อัลดริดจ์, ปีเตอร์ เบียดสลีย์, ดีน ซอนเดอร์ส, ไนเจล คลัฟ และ สตีฟ แม็คมานามาน แต่พวกที่น่าผิดหวังก็มีอย่าง วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์, แฮร์รี คีเวลล์ และ ร็อบบี คีน
ตอน คีแกน ย้ายไปอยู่กับ ฮัมบูร์ก เมื่อปี 1977 “เดอะ ค็อป” คงใจเสียพอสมควร เพราะเพิ่งได้แชมป์ ยูโรเปียน คัพ สมัยแรก ซึ่ง บ็อบ เพสลีย์ กุนซือตอนนั้นไม่มีทางเลือก ก็หาตัวแทนด้วยการดึง ดัลกลิช มาจาก กลาสโกว์ เซลติก ด้วยค่าตัว 440,000 ปอนด์ (ประมาณ 24.2 ล้านบาท) ก่อนจะเข้าตาได้แชมป์ลีก 6 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 4 สมัย และ ยูโรเปียน คัพ 3 สมัย
ร็อดเจอร์ส ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าตัดสินใจถูกต้องที่ขาย ซัวเรซ แม้ยืนยันว่าพยายามจะรั้งตัวแล้ว แต่แข้งวัย 27 ปีต้องการย้ายออกไปเล่นใน ลา ลีกา สเปน โดยดูจากชื่อชั้นแล้วนักเตะที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้และเหมาะที่สุดที่จะรับมอบเสื้อเบอร์ 7 ก็คือ เซอร์ดาน ชากิรี ปีกที่พา สวิตเซอร์แลนด์ เข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2014 แต่ว่า บาเยิร์น มิวนิก อาจไม่ยอมขาย เหนืออื่นใดยังพอมีเวลาอยู่ที่ ลิเวอร์พูล จะทุ่มเงินง้างใจ “เสือใต้”
ที่ผ่านมา ร็อดเจอร์ส เคยพัวพันอยากได้มิดฟิลด์ทั้ง เฮนริคห์ เอ็มคิตาร์ยาน, วิลเลียน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่รายแรกไปอยู่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ขณะที่เหลือเลือกซบ เชลซี ดังนั้น แสดงถึงขั้นตอนการซื้อนักเตะอาจจะมีปัญหาที่ไปชะลอกระบวนการต่างๆ จนถูกคู่แข่งฉกตัวไปครอง ซึ่งการคว้าผู้เล่นใหม่ แต่ละครั้งใช้เวลานานเกินไปต้องติดต่อหลายรอบ เหนืออื่นใดซัมเมอร์นี้น่าจะง่ายขึ้น เพราะได้ไปเล่นถ้วยสโมสรยุโรปใบใหญ่สุดไม่เหมือนปีที่แล้วที่อาจมีผลกับการตัดสินใจของนักเตะ
หลังเกมอุ่นเครื่องที่แพ้ บรอนด์บี 1-2 ร็อดเจอร์ส เปรยว่าต้องหาใครที่จะมาเติมบางสิ่ง โดยแมตช์ดังกล่าวใช้ระบบ 4-3-3 ซึ่งเคยประสบความสำเร็จสมัยคุม สวอนซี ซิตี และ ลิเวอร์พูล ที่มี ซัวเรซ อีกทั้ง สเตอร์ริดจ์ แสดงให้เห็นว่าทำอะไรได้มากกว่าพาบอลทะลุทะลวง แต่ฤดูกาลที่กำลังมาถึงต้องรับบทหนัก เพราะไม่มีคู่ขาแดนหน้าอีกแล้ว ดังนั้นตัวสนับสนุนต้องดีพอ รวมถึงออปชันแก้เกมก็ต้องหลากหลายยามสถานการณ์ขับคันวันไหนเล่นไม่ออก ยิ่ง สตีเวน เจอร์ราร์ด กองกลางคีย์แมนอายุปาเข้าไป 34 ปีแล้วด้วย
ช่วงเวลาที่เหลือก่อนศึก พรีเมียร์ ลีก เปิดฤดูกาลวันที่ 17 สิงหาคมนี้ ที่จะเล่นใน แอนฟิลด์ รับมือ เซาแธมป์ตัน หรือจะรอให้ตลาดซัมเมอร์นี้ปิดทำการปลายเดือน ร็อดเจอร์ส จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซื้อนักเตะระดับ “บิ๊กเนม” ที่ใช้งานได้เลยรวมถึงคู่ควรกับเสื้อหมายเลข 7 เพื่อพาทีมต่อยอดจากฤดูกาลที่ผ่านมา เพราะ ลิเวอร์พูล เพิ่งกลับมาลืมตาอ้าปาก ดังนั้นสาวก “เดอะ ค็อป” ย่อมไม่อยากถอยหลังอีกแล้ว โดยห้ามลืมว่าสโมสรระดับนี้มาตรฐานและความคาดหวังจะต้องสูงขึ้นไปอีก
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
