คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ทัพนักเตะทีมชาติไทย ภายใต้การคุมบังเหียนของ “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ บรรเลงเพลงแข้งให้แฟนบอลได้ชมกันไปแล้ว 2 นัด โดยประเดิมอุ่นเครื่องชนะ บาห์เรน 1-0 ก่อนที่จะบุกไปพ่าย อิหร่าน 1-2 ในศึกเอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้โอกาสการผ่านไปเล่นรอบสุดท้ายที่ประเทศออสเตรเลียแทบจะปิดประตูแล้ว หลังแข่ง 3 นัดไม่มีแม้แต่แต้มเดียวรั้งบ๊วยของกลุ่มบี อีกทั้งยังเพิ่มสถิติการปราชัยต่อยอดทีมแดนอาหรับเป็นนัดที่ 10 และยังไม่เคยชนะได้เลยจากทั้งหมด 13 เกมที่พบกัน
แม้ต้องพึ่งปาฏิหาริย์ในอีก 3 แมตช์ที่เหลือ แต่เวลานี้สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างหลังจากผ่านมา 2 เกมคือรูปแบบการเล่นที่โค้ชง้วนเข้ามารื้อระบบใหม่ หรือเรียกว่า “ช้างศึกสายพันธุ์ใหม่สไตล์ง้วน” ก็ว่าได้ โดยกุนซือวัย 43 ปี เลือกจัดทัพในระบบ 4-4-1-1 คล้ายคลึงกับ 4-5-1 ในยุคของ วินฟรีด เชเฟอร์ แต่รูปแบบการเล่นนั้นต่างออกไปตามปรัชญาที่เจ้าตัวอยากให้เป็นคือ “เกาหลี ผสม ญี่ปุ่น” เราจึงเห็นกองกลางที่อัดแน่นและเกมรับที่เปี่ยมด้วยระเบียบวินัยมากกว่าเกมรุกที่วูบวาบ ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายกับสไตล์การเล่นของเจ้าตัวเองสมัยโลดแล่นบนผืนหญ้า
ด้านขุมกำลัง “โค้ชง้วน” เลือกใช้ อดุล หละโสะ กับ พิชิตย์ ใจบุญ เป็นผึ้งงานคอยวิ่งพล่านไล่ทำลายเกมคู่แข่งในแดนกลาง ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเล่นได้โดดเด่นบดขยี้แบบไม่มีหมดแรง เพียงแต่ยังมีปัญหาในด้านการเติมเกมรุกที่ยังต้องแก้ ทั้งนี้ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่การเลือกตัวผู้เล่นติดธง เพราะอดีตแข้งดรีมทีมหนีบนักเตะไปกรุงเตหะรานเพียงแค่ 20 คนเท่านั้น จากโควตา 23 คน และที่สำคัญมีเพียง รัชพล นาวันโน รายเดียวที่เป็นมิดฟิลด์ตัวทำเกม หลังจากที่ สุเชาว์ นุชนุ่ม กับ จักรพันธ์ แก้วพรม มีอาการบาดเจ็บต้องถอนตัว
ส่งผลให้จำต้องถอย “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา หอกเบอร์ 1 ร่นลงมาทำหน้าที่แทน แม้ 2 เกมที่ผ่านมาเจ้าตัวทั้งจ่ายและยิงแต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัด ทำให้เกมรุกดูตื้อๆ ไม่มีมิติ เพราะเมื่อคู่กองกลางตัดบอลได้แต่กลับไม่มีตัวทำเกมขึ้นไปสู่แดนหน้า จะถ่ายออกข้างให้ปีกสองฝั่งอย่าง ณรงค์ จันทร์เสวก กับ สุรเชษฐ์ งามทิพย์ ก็ทำได้แค่เพียงหวือหวาบางจังหวะเท่านั้น จึงทำให้ ชาตรี ฉิมทะเล หน้าเป้าผู้ทำประตูดับบาห์เรนหายไปจากเกมไม่มีแม้แต่โอกาสจะง้างเท้ายิง รวมถึงตัวสำรองที่จะลงมาพลิกเกมก็ไม่มี แม้เกมจะตามหลังแต่ “โค้ชง้วน” มีเพียง รัชพล กับ มงคล ทศไกร ที่ส่งลงมาปรับหมากเท่านั้น
ส่วนหลังบ้านนั้นไว้ใจได้ คู่เซ็นเตอร์ ประทุม ชูทอง กับ ชลทิตย์ จันทคาม ประสานงานกันได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ “เจ้าทุม” ที่ต้องพูดว่าสมควรได้ก้าวขึ้นยึดตำแหน่งตัวจริงเสียทีหลังถูกหมางเมินมาโดยตลอด ขณะที่แบ็กทั้งสองข้างยังต้องปรับปรุง กรกช วิริยอุดมศิริ แม้จัดการผู้เล่นอิหร่านได้อยู่หมัดแต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้เทียบเท่า “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน เจ้าของสัมปทานฝั่งซ้าย ส่วนด้านขวา วสันต์ ฮมแสน ยังต้องบ่มเพาะประสบการณ์อีกมาก
ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่า 2 เกมแรกของ “โค้ชง้วน” สอบผ่านในระดับหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ได้เห็นความมุ่งมั่นในเกมและรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนว่าจะเป็นไปในแนวทางใด ไม่ใช่สักแต่จะลอยชายพูดไปวันๆว่าขอเปิดเกมรุกเพื่อเอนเตอร์เทนแบบไร้เป้าหมาย เพียงแต่ยังต้องซ่อมเรื่องการเตรียมตัวจัดทัพให้พร้อมขึ้นมากกว่าเดิมเท่านั้น และหลังจากนี้อีก 3 เกมที่เหลือจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอดีตกุนซือบางกอกกล๊าส เอฟซี จะซ่อมผ่านหรือไม่ โดยคิวต่อไปจะได้เล่นในบ้านแก้มือ อิหร่าน วันที่ 15 พฤศจิกายน ต่อด้วยเยือน คูเวต 19 พฤศจิกายน และนัดสุดท้ายเฝ้ารังพบ เลบานอน 5 มีนาคม ปีหน้า
สุดท้ายเลยอยากจะขอยืมคำพูด “เจ้ามุ้ย” มากล่าวเพื่อเป็นความหวังสักหน่อยว่า “หากของเก่ามันไม่ดี ก็ต้องลองเปลี่ยนเป็นของใหม่ดูสักตั้ง”
ทัพนักเตะทีมชาติไทย ภายใต้การคุมบังเหียนของ “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ บรรเลงเพลงแข้งให้แฟนบอลได้ชมกันไปแล้ว 2 นัด โดยประเดิมอุ่นเครื่องชนะ บาห์เรน 1-0 ก่อนที่จะบุกไปพ่าย อิหร่าน 1-2 ในศึกเอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้โอกาสการผ่านไปเล่นรอบสุดท้ายที่ประเทศออสเตรเลียแทบจะปิดประตูแล้ว หลังแข่ง 3 นัดไม่มีแม้แต่แต้มเดียวรั้งบ๊วยของกลุ่มบี อีกทั้งยังเพิ่มสถิติการปราชัยต่อยอดทีมแดนอาหรับเป็นนัดที่ 10 และยังไม่เคยชนะได้เลยจากทั้งหมด 13 เกมที่พบกัน
แม้ต้องพึ่งปาฏิหาริย์ในอีก 3 แมตช์ที่เหลือ แต่เวลานี้สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างหลังจากผ่านมา 2 เกมคือรูปแบบการเล่นที่โค้ชง้วนเข้ามารื้อระบบใหม่ หรือเรียกว่า “ช้างศึกสายพันธุ์ใหม่สไตล์ง้วน” ก็ว่าได้ โดยกุนซือวัย 43 ปี เลือกจัดทัพในระบบ 4-4-1-1 คล้ายคลึงกับ 4-5-1 ในยุคของ วินฟรีด เชเฟอร์ แต่รูปแบบการเล่นนั้นต่างออกไปตามปรัชญาที่เจ้าตัวอยากให้เป็นคือ “เกาหลี ผสม ญี่ปุ่น” เราจึงเห็นกองกลางที่อัดแน่นและเกมรับที่เปี่ยมด้วยระเบียบวินัยมากกว่าเกมรุกที่วูบวาบ ซึ่งจะว่าไปก็คล้ายกับสไตล์การเล่นของเจ้าตัวเองสมัยโลดแล่นบนผืนหญ้า
ด้านขุมกำลัง “โค้ชง้วน” เลือกใช้ อดุล หละโสะ กับ พิชิตย์ ใจบุญ เป็นผึ้งงานคอยวิ่งพล่านไล่ทำลายเกมคู่แข่งในแดนกลาง ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเล่นได้โดดเด่นบดขยี้แบบไม่มีหมดแรง เพียงแต่ยังมีปัญหาในด้านการเติมเกมรุกที่ยังต้องแก้ ทั้งนี้ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่การเลือกตัวผู้เล่นติดธง เพราะอดีตแข้งดรีมทีมหนีบนักเตะไปกรุงเตหะรานเพียงแค่ 20 คนเท่านั้น จากโควตา 23 คน และที่สำคัญมีเพียง รัชพล นาวันโน รายเดียวที่เป็นมิดฟิลด์ตัวทำเกม หลังจากที่ สุเชาว์ นุชนุ่ม กับ จักรพันธ์ แก้วพรม มีอาการบาดเจ็บต้องถอนตัว
ส่งผลให้จำต้องถอย “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา หอกเบอร์ 1 ร่นลงมาทำหน้าที่แทน แม้ 2 เกมที่ผ่านมาเจ้าตัวทั้งจ่ายและยิงแต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัด ทำให้เกมรุกดูตื้อๆ ไม่มีมิติ เพราะเมื่อคู่กองกลางตัดบอลได้แต่กลับไม่มีตัวทำเกมขึ้นไปสู่แดนหน้า จะถ่ายออกข้างให้ปีกสองฝั่งอย่าง ณรงค์ จันทร์เสวก กับ สุรเชษฐ์ งามทิพย์ ก็ทำได้แค่เพียงหวือหวาบางจังหวะเท่านั้น จึงทำให้ ชาตรี ฉิมทะเล หน้าเป้าผู้ทำประตูดับบาห์เรนหายไปจากเกมไม่มีแม้แต่โอกาสจะง้างเท้ายิง รวมถึงตัวสำรองที่จะลงมาพลิกเกมก็ไม่มี แม้เกมจะตามหลังแต่ “โค้ชง้วน” มีเพียง รัชพล กับ มงคล ทศไกร ที่ส่งลงมาปรับหมากเท่านั้น
ส่วนหลังบ้านนั้นไว้ใจได้ คู่เซ็นเตอร์ ประทุม ชูทอง กับ ชลทิตย์ จันทคาม ประสานงานกันได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ “เจ้าทุม” ที่ต้องพูดว่าสมควรได้ก้าวขึ้นยึดตำแหน่งตัวจริงเสียทีหลังถูกหมางเมินมาโดยตลอด ขณะที่แบ็กทั้งสองข้างยังต้องปรับปรุง กรกช วิริยอุดมศิริ แม้จัดการผู้เล่นอิหร่านได้อยู่หมัดแต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้เทียบเท่า “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน เจ้าของสัมปทานฝั่งซ้าย ส่วนด้านขวา วสันต์ ฮมแสน ยังต้องบ่มเพาะประสบการณ์อีกมาก
ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่า 2 เกมแรกของ “โค้ชง้วน” สอบผ่านในระดับหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็ได้เห็นความมุ่งมั่นในเกมและรูปแบบการเล่นที่ชัดเจนว่าจะเป็นไปในแนวทางใด ไม่ใช่สักแต่จะลอยชายพูดไปวันๆว่าขอเปิดเกมรุกเพื่อเอนเตอร์เทนแบบไร้เป้าหมาย เพียงแต่ยังต้องซ่อมเรื่องการเตรียมตัวจัดทัพให้พร้อมขึ้นมากกว่าเดิมเท่านั้น และหลังจากนี้อีก 3 เกมที่เหลือจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอดีตกุนซือบางกอกกล๊าส เอฟซี จะซ่อมผ่านหรือไม่ โดยคิวต่อไปจะได้เล่นในบ้านแก้มือ อิหร่าน วันที่ 15 พฤศจิกายน ต่อด้วยเยือน คูเวต 19 พฤศจิกายน และนัดสุดท้ายเฝ้ารังพบ เลบานอน 5 มีนาคม ปีหน้า
สุดท้ายเลยอยากจะขอยืมคำพูด “เจ้ามุ้ย” มากล่าวเพื่อเป็นความหวังสักหน่อยว่า “หากของเก่ามันไม่ดี ก็ต้องลองเปลี่ยนเป็นของใหม่ดูสักตั้ง”