xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องขี้โกง คนไทยไปถึง 3G / กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน

คำว่า 3G ถูกใช้ในเรื่องเท็คนอลลอจี้โทรศัพท์มือถือที่พัฒนามาถึงรุ่นที่ 3 ซึ่ง สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union) กำหนดคุณสมบัติเป็นเกณฑ์มาตรฐานให้โทรศัพท์ยุค 3G ต้องสามารถใช้พูดคุยได้ยินเสียงชัดแจ๋ว เข้าอินเทอร์เน็ทแบบไร้สาย มีอย่างพูดแล้วเห็นตัวกันด้วย ชมโทรทัศน์ก็ได้อีก

ตั้งแต่ยุคปี 1980 ยังเป็นช่วงเริ่มต้นใหม่ๆของโทรศัพท์มือถือ เรียกว่า 1G การใช้งานยังติดๆ ขัดๆ เสียงขาดๆหายๆ สายหลุดบ่อย เพราะมันเป็นยุคบุกเบิก แล้วในอีกราว 10 ปีต่อมา เครื่องมืออุปกรณ์ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น ถือว่ามีความเสถียรมากขึ้น นิ่งแล้ว เข้าขั้นมาตรฐานแล้ว อันนี้ถือว่าเข้าสู่ยุค 2G ดังนั้น ถ้าพูดรวมไปถึงทุกสิ่งที่เป็น 1G ก็คือ รุ่นบุกเบิก ใช้การได้ไม่ค่อยสมบูรณ์ 2G เป็นรุ่นที่ 2 เริ่มเข้าที่เข้าทาง พอมาถึง 3G คือ รุ่นที่ 3 คราวนี้พัฒนาล้ำหน้าอย่างเหนือชั้น เป็นผู้นำ เป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นตามหลังลอกเลียนแบบได้เป็นอย่างดี

เมื่อหลายวันก่อน ผมได้ทราบข่าวของ เจ้าเหน่ง สมชาย เชิดฉาย อดีตแช้มพ์โลก มวยสากล รุ่นฟลายเหวท ของ สมาคมมวยโลก (World Boxing Association - WBA) เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ที่ใช้ชื่อชกว่า แสน ส.เพลินจิต เปิดเผยว่า ตนมารู้ภายหลังว่า ทองที่ได้รับในการขึ้นชกแต่ละครั้งและอุตส่าห์เก็บสะสมมาเป็นระยะเวลานาน รวมน้ำหนักประมาณ 500 บาทนั้น เป็นของปลอมเสียมากกว่าครึ่ง

ก็ในยุคก่อนย้อนกลับไปราว 2-3 ทศวรรษ มันเป็นช่วงฮิทกันมาก นักมวยสากลจะชิงแช้มพ์โลกแต่ละครั้งต้องมีนักการเมืองขึ้นมากล่าวยืดยาว มี อาเสี่ย ขึ้นไปเจ๋อมอบสร้อยคอทองคำให้นักมวยคนไทยบนเวที มันเป็นการหารายได้ทางหนึ่งจากผู้จัดการแข่งขัน ในขณะเดียวกัน เจ้าของกิจการ ผู้ผลิตสินค้า รายต่างๆซึ่งมักจะเป็นสินค้าที่มีแฟนหมัดมวยเป็นกลุ่มเป้าหมาย เช่น ยาหอม ยาดม ยาแก้ปวด ยาฆ่าหญ้า ปุ๋ย มอเตอร์ซายเคิ่ล รถไถ น้ำมันเครื่อง ฯลฯ ก็ได้โอกาสโฆษณาสินค้า โฆษณาตนเองแบบเนียนๆ ถือเป็นพระคุณที่กรุณาควักกระเป๋าหาซื้อสร้อยคอทองคำมูลค่าสูงให้เป็นขวัญกำลังใจก่อนชก

คราวนี้ด้วยสันดานขี้โกงของคนไทยที่ ประสงค์จะออกนาม แต่ไม่ประสงค์จะออกเงิน บางรายก็คิดหนทางง่ายๆ นำทองปลอมมาตบตา เพราะมันไม่ได้มีมาตรการในการตรวจพิสูจน์เสียก่อน ส่วนมากจะเป็นสร้อยคอทองคำหนักเส้นละ 2-3 บาท หรือ 5 บาทโน่น หมอนี่ก็ประหยัดเงินได้เป็นหมื่น ยิ่งถ้าคิดมูลค่าทองคำในยุคนี้ก็แสนกว่าๆ แล้ว อันนี้ถือเป็นการฉ้อโกง ซึ่งความจริงก็มีการบันทึกภาพเก็บอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ ดีเอสอาย ตามได้ไม่ยากหรอกครับ

ผมยังสงสัยว่า มีการตกลงแบ่งสัดส่วนสร้อยคอทองคำระหว่างนักมวยกับ คุณเสถียร เสถียรสุต เจ้าของค่าย ส.เพลินจิต ไว้อย่างไร แต่เจ้าของค่ายเป็นผู้เก็บรักษาสร้อยคอทองคำเอาไว้ให้ เมื่อ แสน ส.เพลินจิต ต้องการก็มาเบิกเอาไป นี่ก็คงเป็นการช่วยรักษาทรัพย์สินของนักมวยไม่ให้เอาไปใช้จ่ายอย่างเพลินมือ เดี๋ยวสุดท้ายจะไม่เหลืออะไร อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ก็อาจถูกเปลี่ยนจากของจริงเป็นของปลอมได้อีก

เรื่องทองปลอมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับ แสน ส.เพลินจิต คนเดียว แต่นักมวยหลายคนก็โดนและเคยมีพูดกันไปตั้งนานแล้ว ทำให้ในปัจจุบัน มุขนี้นำมาใช้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ถ้าอยากจะรื้อฟื้นประเพณีเก่าขึ้นมาใหม่ ผมก็ว่า การทำให้รัดกุมเป็นเรื่องไม่ยากครับ โดยให้ผู้แสดงความจำนงค์มอบสร้อยคอทองคำไปซื้อมาจากห้างเดียวกันเลย ไม่ต้องไปซื้อที่อื่น มีใบรับประกันลงลายเซ็น ประทับตรา มาให้เสร็จ เจ้าของห้างทองส่งเจ้าหน้าที่มาปรากฏตัวด้วย รับรองของจริงและขายคืนได้แน่

เรื่องการแก้ปัญหาร้อยแปด น้ำแล้ง น้ำท่วม การจราจร สร้างสนามกีฬา ประมูลสัมปทาน ฯลฯ คนไทยคิดได้ช้าเหลือเกิน ต้องให้ผู้คนรอคอยด้วยความลำบากยากเข็นเป็นเวลานาน แต่ถึงเรื่องชั่ว เรื่องขี้โกงนี่ มันไร้เทียมทาน ล้ำหน้า เหนือกว่าชาติอื่นจริงๆ ก้าวไกลไปยุค 3G ตั้งนานแล้วครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น