แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกแซงชนะ ลิเวอร์พูล ที่เหลือ 10 คน ตั้งแต่ครึ่งแรก 2-1 พร้อมขยับขึ้นเป็นรองจ่าฝูง ในเกมพรีเมียร์ลีกนัด “แดงเดือด” ที่ “เดอะค็อป” ต้องสังเวยใบแดง และจุดโทษจาก มาร์ก ฮัลซีย์ แบบค้านสายตา เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ลิเวอร์พูล 1-2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เกมพรีเมียร์ลีก “แดงเดือด” ซูเปอร์บิ๊กแมตช์ ประจำวันอาทิตย์ที่ 23 ก.ย.ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ รับคู่อริ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยก่อนเกมมีพิธีไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร และหนึ่งไฮไลต์สำคัญเรื่องลืมความบาดหมางระหว่าง หลุยส์ ซัวเรซ และ ปาทริซ เอวรา ยอมจับมือกันตามที่หลายฝ่ายคาดกันไว้
ออกสตาร์ท 6 นาที ทีมเยือนได้โอกาสทักทายก่อนจากจังหวะยิงนอกกรอบของ ไรอัน กิ๊กส์ บอลพุ่งถากเสาออกไปแบบได้เสียว แต่แล้วหลังจากนั้นเกมตกเป็นของ “หงส์แดง” ครองบอลพับสนามบุกเข้าใส่ฝ่ายเดียว กดให้ “ปิศาจแดง” ต้องลงมาตั้งรับชนิดที่ไม่มีโอกาสได้บุก นาทีที่ 9 การขึ้นเกมทางริมเส้นของ ลิเวอร์พูล เกือบได้ประตูขึ้นนำ สเตอร์ลิง เปิดยัดเข้ามาถึง เจอร์ราร์ด ตวัดยิงเร็วบอลพุ่งเข้าหน้าต่างเสาแรก
ท้ายครึ่งแรกมาเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ จอนโจ เชลวีย์ เข้าบอลจังหวะ 50-50 กับ จอห์นนี อีแวนส์ ผู้ตัดสิน มาร์ก ฮัลซีย์ เดินมาควักใบแดงแบบไม่ลังเล ชนิดค้านสายตาเหล่า “เดอะค็อป” ทั้งสนาม แต่แม้เหลือเพียง 10 คน แต่ ลิเวอร์พูล ยังครองเกมดีกว่า และเกือบได้ประตูขึ้นนำก่อนจากลูกฟรีคิกระยะ 25 หลา ซัวเรซ ปั่นบอลโค้งข้ามกำแพง ทว่า อันเดอร์ส ลินเดอร์การ์ด บินไปปัดทิ้งหวุดหวิด จบครึ่งแรก เสมอกันอยู่ 0-0
กลับมาเล่นครึ่งหลังผู้จัดการทีมทั้ง 2 ฝ่ายแก้เกมอย่างรวดเร็ว เฟอร์กูสัน ส่ง พอล สโคลส์ ลงมาคุมเกมแดนกลางแทน นานี ขณะที่ เบรนเดน ร็อดเจอร์ส ส่ง เจซุส เฟร์นันเดซ ซาเอซ หรือ “ซูโซ” ลงมาแทน บอรินี และไม่เพียง 1 นาที การทำเกมของเจ้าหนูชาวสเปนทางซ้ายก่อนเปิดเข้ากลาง แนวรับ ยูไนเต็ด เคลียร์ไม่ขาด มาเข้าทาง “สตีวีจี” พักอดวอลเลย์ด้วยซ้ายบอลเสียบเสาสองอย่างสวยงาม ลิเวอร์พูล ออกนำ 1-0
หลังเสียประตูไม่ถึง 5 นาที “ผีแดง” มาได้ประตูตีเสมอทันควัน วาเลนเซีย โยนจากกราบขวาให้ คากาวะ แตะอกต่อถึง ราฟาเอล บรรจงปั้นโค้งด้วยซ้ายบอลเลี้ยวเช็ดเสาสองเข้าไปไล่ตามมาเป็น 1-1 ผ่าน 1 ชั่วโมงของเกม ลิเวอร์พูล ตั้งเกมขึ้นมาทางขวา ซัวเรซ ลากตัดเข้าในก่อนซัดด้วยซ้ายเต็มข้อบอลพุ่งหาเสาสอง แต่ ลินเดอร์การ์ด ยังไม่หลับทิ้งตัวปัดออกมาไปอีกหน
เกมยังเป็นของเจ้าถิ่นหาจังหวะจบสกอร์ได้มากกว่า นาที 64 ซัวเรซ ย้ายมาป่วนทางซ้าย ก่อนไหลกลับมาให้ ซูโซ แปไปแฉลบ เฟอร์ดินานด์ แต่นายประตูผีแดงโชว์ซูเปอร์เซฟได้ตามเคย กระทั่งนาที 75 วาเลนเซีย หลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษ จอห์นสัน ตามมาสกัดจากด้านหลัง ซึ่งเมื่อดูภาพช้าไม่โดนตัว วาเลนเซีย แบบชัดเจน ทว่า มาร์ก ฮัลซีย์ เจ้าเก่าเป่าเป็นจุดโทษและเป็น “อาร์วีพี” รับหน้าที่สังหารเต็มเท้า ส่งให้ “ผีแดง” แซงนำ 2-1
นาที 82 จอห์นสัน โยนเข้ามาให้ เคลลีย์ เบียดโหม่งทางเสาสองเพื่อลุ้นตีเสมอ แต่บอลหลุดเสาสองไปไม่ไกล ช่วงท้ายเกมเป็นลูกทีมของ เฟอร์กูสัน ที่คุมเกมเอาไว้ได้ทั้งหมด ทำให้ไม่มีประตูเพิ่ม จบ 90 นาที แมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาเก็บ 3 แต้ม เพิ่มเป็น 12 คะแนนขึ้นเป็นรองจ่าฝูง ขณะที่ ลิเวอร์พูล ผู้โชคร้ายในเกมนี้ ยังจมอยู่ท้ายตารางต้องรอชัยชนะนัดแรกในลีกต่อไป
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : เปเป เรนา, เกล็น จอห์นสัน, แดเนียล แอ็กเกอร์, มาร์ติน เคลลีย์, มาร์ติน สเคลเทล, สตีเวน เจอร์ราร์ด, โจ อัลเลน, จอนโจ เชลวีย์, หลุยส์ ซัวเรซ, ฟาบิโอ บอรินี, ราฮีม สเตอร์ลิง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : อันเดอร์ส ลินเดอร์การ์ด, ราฟาเอล ดา ซิลวา, ปาทริช เอวรา, ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอห์นนี อีแวนส์, อันโตนิโอ วาเลนเซีย, ไรอัน กิ๊กส์, ไมเคิล คาร์ริก, หลุยส์ นานี, โรบิน ฟาน เพอร์ซี, ชินจิ คากาวะ