ชัยชนะของประหยัด มากแสง ในการแข่งขันวอลโว่ มาสเตอร์ ออฟ เอเชีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมานับว่าเป็นการปิดฉากเอเชี่ยนทัวร์ได้อย่างสวยหรูสำหรับวงการกอล์ฟไทย แม้ว่าชัยชนะของโปรวัย 41 จากหัวหินจะดับความฝันของ "ชัพชัย" ในการลุ้นขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตารางทำเงินหรือ ยูบีเอส ออร์เดอร์ ออฟ เมอริท ซึ่งในที่สุด เหลียง เวน ชอง คว้าตำแหน่งดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยด้วยเงินรางวัลรวมกันตลอดทั้งฤดูกาลที่ 532,590 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ "โปรโจ๊ก" นั้นมีตัวเลขอยู่ที่ 442,325 เหรียญสหรัฐฯ
แม้ ชัพชัย ยังไม่ได้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตารางรายได้เอเชี่ยนทัวร์ ในฤดูกาลนี้แต่วัยเพียง 24 ปีกับวงสวิงที่หลายคนการันตีว่าน่าจะไปได้ไกลถึงพีจีเอทัวร์ โอกาสที่ "โปรโจ๊ก" จะขึ้นสู่ตำแหน่งที่เคยมีนักกอล์ฟรุ่นพี่ชาวไทยครองบัลลังก์มาแล้วถึงสองรายอย่าง ถาวร วิรัตน์จันทร์ และ ธงชัย ใจดี ก็มีโอกาสไม่น้อย แต่สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับวอลโว่ มาสเตอร์ ออฟ เอเชีย เห็นจะเป็นระยะเวลาจัดการแข่งขันที่จะสิ้นสุดสัญญาลงในปี 2008 ซึ่งจะทำให้ปลายปีหน้าการแข่งขันเพื่อปิดฤดูกาลของเอเชี่ยนทัวร์อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่สนามไทยคันทรี คลับ ของเมืองไทยจะได้เป็นเจ้าภาพ
หากวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ว่าไทยจะมีโอกาสได้สัญญาจัดทัวร์นาเม้นท์นี้ต่อไปหรือไม่นั้น "เมล ไพแอตต์" ยังคงไม่มีข่าวดีให้กับวงการกอล์ฟไทยเมื่อเขากล่าวกับผู้สื่อข่าวกีฬาผู้จัดการรายวันในวันสุดท้ายของตำแหน่งว่า "ปี 2008 การแข่งขันยังคงอยู่ในเมืองไทยหลังจากนั้นน่าจะเป็นเรื่องของบอร์ดบริหาร" ประโยคดังกล่าวดูจะเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักสำหรับหนึ่งในสองทัวร์นาเม้นท์ระดับเอเชี่ยนทัวร์ในเมืองไทย
อันที่จะแล้วเมืองไทยนั้นมีนักกอล์ฟฝีมือดีที่ได้เข้าร่วมรายการระดับโลกอยู่หลายรายไม่ว่าจะเป็นธงชัย ใจดี ถาวร วิรัตน์จันทร์ ประหยัด มากแสง พรหม มีสวัสดิ์ และ ชัพชัย นิราศ แต่บรรดาโปรชื่อดังเหล่านี้ต้องเดินทางตระเวนแข่งขันในสนามนอกบ้านซึ่งรายการส่วนใหญ่จะกระจุกตัวรวมกันอยู่ในสิงค์โปร์ และ จีน ซึ่งภาครัฐของทั้งสองประเทศให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ และดูเหมือนว่าในวันนี้หลังจาก 10 ปีที่สมาคมกอล์ฟจีนทุ่มเทลงไปพวกเขาก็สามารถปั้นให้ เหลียง เวน ชอง กลายเป็นนักกอล์ฟหมายเลขหนึ่งของเอเชีย
ไม่เพียงแต่ประเทศทุนหนาอย่างจีน หรือ สิงค์โปร์เท่านั้นที่ภาครัฐให้ความสนับสนุนการแข่งขันระดับอาชีพอย่างเต็มที่ ประเทศเพื่อนบ้านของไทยก็เริ่มหันมาสนใจพัฒนากีฬาประเภทนี้เช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กัมพูชา ที่ได้นักลงทุนจากเมืองไทยจาก "ค่ายไทยนครพัฒนา" นำโดย สุภชัย วีระภุชชงค์ ที่ไปเปิดทัวร์นาเม้นท์ซึ่งสร้างความฮือฮาได้ในระดับโลก ในการแข่งขันจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แคมโบเดียน โอเพ่นแม้จะเป็นครั้งแรกสำหรับการแข่งขันกีฬาระดับอาชีพในกัมพูชา แต่จุดขายที่สนามนั้นอยู่ใกล้กับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างนครวัด ทำให้ทัวร์นาเม้นท์ที่มีเงินรางวัลรวม 300,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 10 ล้านบาท) แจ้งเกิดได้อย่างสวยงามฤดูกาลที่ผ่านมา
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ การแข่งขันกอล์ฟรายการใหม่ถอดด้ามในประเทศที่เรียกได้ว่า เศรษฐกิจ อยู่ในช่วงเริ่มต้นหลังควันจากสงครามกลางเมืองเพิ่งจางไปเห็นจะเป็นความสนับสนุนของรัฐบาลกัมพูชานำโดย สมเด็จ ฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรี ที่จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสื่อ นักกีฬา และ นักท่องเที่ยวที่จะเข้าชมการแข่งขัน รวมถึงถนนที่ทอดยาวไปจนถึงสนาม โภคีธารา คันทรี คลับ ที่ตั้งอยู่ในเมืองเสียมเรียบ โดยใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของกัมพูชา ที่ปรากฏผ่านการแข่งขันในครั้งนี้ส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวนครวัดให้เพิ่มมากขึ้นที่สำคัญผู้สนับสนุนหลักอย่างจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ รวมไปถึงเอเชี่ยนทัวร์ ประทับใจกับการแข่งขันที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่งทำให้ฤดูกาลหน้ารายการนี้อาจจะมีเงินรางวัลรวมให้ชิงกันถึง 500,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 17.5 ล้านบาท)
หันกลับมาพิจารณาวงการกอล์ฟไทยในเวลานี้คงต้องยอมรับกันว่าไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือการให้ความสนับสนุนจากภาครัฐมานานแล้ว นักกอล์ฟ ยังคงต้องวิ่งหาผู้สนับสนุนด้วยตนเอง การแข่งขันที่เกิดขึ้นภายในประเทศก็มีน้อยเท่าน้อย ในขณะที่รายการระดับเอเชี่ยนทัวร์ เพื่อให้โปรได้เก็บคะแนนสะสมปูทางไปสู่ทัวร์นาเม้นท์ที่สูงกว่าอย่างยูโรเปี้ยน หรือ พีจีเอ ทัวร์ พอสิ้นสุดฤดูกาลหน้าก็อาจจะหลงเหลือเพียงแค่รายการเดียวเพราะภาครัฐไม่ให้ความสนับสนุน
ส่วนประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็น จีน สิงค์โปร์ มาเลเซีย เวียดนาม หรือแม้กระทั่งกัมพูชา กลับมองว่ากีฬาจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประชากรของประเทศ เป็นอีกหนึ่งทรัพยากรที่สามารถยกระดับภาพลักษณ์ให้เป็นที่น่าเชื่อถือในสายตาชาวโลกได้ ขณะที่ฝ่ายไทยกลับไม่ได้ให้ความสำคัญ ขณะที่บางรายใช้เป็นแหล่งกอบโกยผลประโยชน์ ถึงเวลานี้ยังไม่มีใครมองเห็นว่าอนาคตของสวิงไทยจะลงเอยเช่นใด แต่ก็มีหลายเสียงภาวนาว่าอย่าไปซ้ำรอยกับวงการลูกหนังที่ปัจจุบันหวังผลสูงสุดแค่แชมป์ซีเกมส์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นักฟุตบอลไทยเคยชนะมาแล้วทั้งเกาหลี และ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นมหาอำนาจลูกหนังของเอเชียในปัจจุบัน