ย้อนกลับไปเมื่อเก้าปีก่อน “ริคกี้ วิลเลี่ยมส์” รันนิงแบ็กดีกรีไฮส์แมน โทรฟี ก้าวเท้าเข้าสู่ลีกอเมริกัน ฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) เป็นครั้งแรกในชีวิต มาถึงวันนี้อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ของ วิลเลี่ยมส์ อาจไม่แตกต่างจากวันนั้น และนี่ถือเป็นบทพิสูจน์ความเป็นยอดตัววิ่งอีกครั้งหนึ่ง
อดีต
ก่อนที่ ริคกี้ วิลเลี่ยมส์ จะมาถือลูกบอลวิ่งหนีบรรดาทีมรับในศึกอเมริกัน ฟุตบอล เจ้าหนูจากซานดิอาโก มีพรสวรรค์ในกีฬาเบสบอลไม่น้อย สมัยเรียนระดับไฮสคูลที่แพทริค เฮนรี เคยถูกเรียกตัวไปเล่นกับ ฟิลาเดลเฟีย ฟิลลี่ส์ ในลีกเบสบอลสมัครเล่น แต่เมื่อเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย วิลเลี่ยมส์ ตัดสินใจเล่น (อเมริกัน) ฟุตบอลให้กับมหาวิทยาลัยเท็กซัส ในออสติน แม้แรกเริ่มเป็นเพียงสำรองของ พริสท์ โฮล์มส แต่พอรุ่นพี่เข้าสู่ลีกอาชีพ วิลเลี่ยมส์ ก็เริ่มฉายแววซูเปอร์สตาร์ กดทำระยะรวมไปถึง 6,279 หลาจนคว้ารางวัล “ไฮส์แมน โทรฟี” มาครองในปี 1998 ให้หลังอีกแค่ปีเดียวก็ถูกคัดเลือกเข้าสู่เอ็นเอฟแอล ในอันดับ 5 โดย นิวออร์ลีนส์ เซ็นต์ส
ตลอดสามปีที่เล่นในถิ่นซูเปอร์โดม ผลงานของ วิลเลี่ยมส์ เป็นกราฟพุ่งขึ้นโดยตลอด ตรงกันข้ามกับผลงานของเซ็นต์ส เป็นเหตุผลให้ทีมปลด ไมค์ ดิตก้า จากตำแหน่งหัวหน้าโค้ช และวิลเลี่ยมส์ ก็ถูกเทรดมาอยู่กับ ไมอามี ดอลฟินส์ และก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้นทันทีในปี 2002 เมื่อวิ่งทำระยะได้ถึง 1,853 หลา 16 ทัชดาวน์ ที่ดีสุดในอาชีพก็ว่าได้ เมื่อความเป็นซูเปอร์สตาร์ก่อเกิด วิลเลี่ยมส์ ไม่พ้นอยู่ในสายตาของทุกคน แต่ทุกครั้งที่ต้องออกกล้องถ่ายทอดสดให้สัมภาษณ์ วิลเลี่ยมส์ ซึ่งในภายหลังยอมรับว่าเป็นคนขี้อายมาก มักหลบสายตากับพิธีกรรวมถึงไม่ค่อยมองกล้อง
จุดเปลี่ยนของชีวิต
นอกจากเล่น (อเมริกัน) ฟุตบอล วิลเลี่ยมส์ เป็นนักกีฬาคนหนึ่งที่ชอบศึกษาเกี่ยวกับศิลปะการรักษาโรค และเขาก็ยอมรับตรงๆ ว่ามีการใช้ “กัญชา” ในการรักษาตัวในแบบของเขา แต่สำหรับ เอ็นเอฟแอล นี่เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ดังนั้น วิลเลี่ยมส์ จึงถูกปรับเงินและโดนโทษแบน เมื่อถูกตรวจบ่อยครั้งทำให้ วิลเลี่ยมส์ ถอดใจประกาศช็อกวงการด้วยการรีไทร์ในวันที่ 2 สิงหาคม ปี 2004 หลังเป็นอิสระจากกฎระเบียบที่เคร่งครัด วิลเลี่ยมส์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการท่องเที่ยวไปสัมผัสกับวัฒนธรรมทั้งในออสเตรเลียและอินเดีย เมื่ออารมณ์ศิลปินผ่านพ้นไป วิลเลี่ยมส์ กลับสู่ทีมในปี 2005 ปีที่ “โลมามหาภัย” คัดเลือก รอนนี่ บราวน์ ขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ของทีม และเดฟ วานสเตท ก็ตัดสินใจไม่ผิด เพราะคราวนี้ วิลเลี่ยมส์ เจอโทษแบนตลอดทั้งฤดูกาล 2005/06 จากการตรวจพบสารเสพติดในร่างกายเป็นครั้งที่ 5 ทุกอย่างดูเหมือนจะสิ้นสุดลง
ปัจจุบัน
แม้ไม่สามารถลงวิ่งให้ ดอลฟินส์ แต่ วิลเลี่ยมส์ ใช้เวลาว่างหนึ่งปีไปเล่นในแคนาเดียน ฟุตบอล ลีก กับ โตรอนโต อาร์โกนอวท์ส และเมื่อจบฤดูกาลเอเย่นต์ส่วนตัวยื่นเรื่องกับลีกเพื่อขอนำตัว วิลเลี่ยมส์ กลับมาเล่นในเอ็นเอฟแอลอีกครั้ง ในที่สุด โรเจอร์ กูเดลล์ ประธานคนปัจจุบันก็ไฟเขียวให้รันนิงแบ็กขี้ยากลับสู่ลีกหลังหายหน้าหายตาไป 18 เดือนเต็ม
ซึ่ง วิลเลี่ยมส์ ดูมีความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้น “ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าก็ทรงเปิดทางให้ผมกลับมาสู่สนามเพื่อทำทัชดาวน์และก็อยากให้ทีมเชื่อมั่นในตัวผม ผมรู้สึกยินดีที่ได้รับการต้อนรับจากแฟนๆ ตอนนี้ผมทั้งแข็งแกร่ง ใสสะอาด และก็มีความสุข พร้อมแล้วสำหรับการกลับมาคว้าชัยชนะในเอ็นเอฟแอล ”
ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา วิลเลี่ยมส์ ลงฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการกับเพื่อนร่วมทีม แคม คาเมรอน หัวหน้าโค้ชคนปัจจุบันแบ่งรับแบ่งสู้สำหรับการส่ง วิลเลี่ยมส์ ลงสนามไปทำศึกกับ “คนเหล็ก” พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส ในเกมมันเดย์ไนท์ (เช้าวันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน ตามวัน-เวลาประเทศไทย) แต่ ดอลฟินส์ ยังมีอะไรต้องเสียอีกอย่างนั้นหรือ
อนาคต
ความพ่ายแพ้ทั้ง 10 เกมที่ลงสนามในฤดูกาล 2007/08 ทำให้ ดอลฟินส์ เริ่มมองไปถึงอนาคต จอห์น เบ็ค ควอเตอร์แบ็กรุคกี้ดราฟท์รอบ 2 ได้ลงมาหาประสบการณ์แทน คลีโอ เลมอน อาการบาดเจ็บจนต้องพักทั้งซีซั่นของ รอนนี่ บราวน์ ทำให้ แคม คาเมรอน ต้องส่ง เจสซี่ แชทแมน ลงไปวิ่งเปิดทาง ตอนนี้ “โลมามหาภัย” ได้อาวุธลับเดิมในรูปโฉมใหม่อย่าง วิลเลี่ยมส์ กลับเข้ามา ประสบการณ์ของรันนิงแบ็กวัย 30 ปีคงช่วยทีมได้ไม่มากก็น้อย
เมื่อโอกาสมาถึง วิลเลี่ยมส์ ไม่ฉวยเอาไว้ก็คงไร้สติเต็มทน เพราะนี่ก็ช่วงปลายอาชีพการเล่น คงไม่มีทีมใดอยากเซ็นสัญญากับผู้เล่นที่มีอดีตสีเทา ยกเว้นแต่ว่าเขาจะหวนกลับคืนฟอร์มระดับเทพเหมือนเมื่อห้าปีก่อน สำหรับ ดอลฟินส์ แม้ต้องการสิทธิดราฟท์อันดับแรกในปี 2008 เพื่อหาควอเตอร์แบ็กมาเป็นความหวังของเฟรนไชส์ แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่าศรัทธาจากแฟนๆ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เรียกว่าแพ้ได้แต่ต้องให้ได้ลุ้น ฤดูกาลหน้าด้วยพื้นฐานเกมรับที่ไม่ขี้เหล่ ประกอบกับหาก วิลเลี่ยมส์ สอดประสานการวิ่งสลับกับ บราวน์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จอมทัพคนใหม่ลงมาขว้างบอลที่แม่นยำให้กับ คริส แชมเบอร์ ฟ้าหลังฝนของ “โลมามหาภัย” อาจมีเส้นทางสายรุ้งทอดผ่านก็เป็นได้