"หัวใจสลาย" คอลัมน์ "สุดฟากสนาม" โดย ธีรพัฒน์ อัครเศรณี
การถูกเด้งออกจากตำแหน่งอย่างกะทันหันนั้น ไม่มีคำใดอธิบายความรู้สึกของ มูรินโญ ได้มากไปกว่า "ใจสลาย" เพราะเชลซี คือทุกสิ่งทุกอย่าง เปรียบดั่งชีวิตจิตวิญญาณของโค้ชหนุ่มผู้นี้ การพรากจากสโมสรและคนที่ทำงานกับเขาด้วย “หัวใจ”นั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง
ครั้งหนึ่ง มูรินโญ เคยพูดว่าจะไม่มีวันลาออกจากเชลซี ถ้าให้ลงจากตำแหน่งต้องไล่สถานเดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายต้องทำใจยอมรับและเจรจากับสโมสรเพื่อหาทางออกในการลงจากเก้าอี้วันสุดท้าย เมื่อโรมัน อบราโมวิช ตัดสินใจไม่เอาเขาอย่างแน่นอนแล้ว
หลังเกมกับโรเซนบอร์ก มูรินโญ ถูกเรียกตัวด่วนเข้าพบประธานสโมสรและบอร์ดบริหาร สุดท้ายตกลงกันได้ในการยกเลิกสัญญาที่เหลืออยู่อีกเกือบ 3 ปี โดยกุนซือจอมเครียดรับเงินชดเชยไปใช้เล่นระหว่างตกงานเป็นเงินถึง 25 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,750 ล้านบาท เงินจำนวนนี้แม้จะทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีไปในชั่วพริบตา แต่คงไม่ทำให้ลืมความเจ็บปวดในวันที่ต้องอำลาถิ่นแสตมฟอร์ดบริดจ์เป็นแน่
"เป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดในชีวิตผม นี่คือช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดในชีวิตการทำงาน ผมผ่านมาหลายทีมแต่นี่คือช่วงเวลาที่ผมอยู่กับสโมสรใดสโมสรหนึ่งนานที่สุด มันจึงเกิดความผูกพัน ผมรักสโมสรและคนที่นี่ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน" กุนซือจอมเครียดเผย
"มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องพยายามควบคุมความเสียใจและความอ่อนไหวของตนเอง คุณอาจสงสัยว่าผมเสียน้ำตาบ้างหรือไม่ บอกได้เลยว่าใช่ แต่ผมพยายามหยุดมันไว้เพราะไม่อยากให้ตนเองอ่อนแอเกินไป ผมจะไม่ได้ทำงานกับผู้คนที่ยอดเยี่ยมหลายคนซึ่งกอดคอร่วมกันมาเป็นเวลานาน มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันคือเรื่องเศร้า”
"การลงจากตำแหน่งครั้งนี้ไม่ใช่ทั้งการลาออก และถูกไล่ออก แต่เป็นการตกลงกันระหว่างสองฝ่ายที่จะไม่ทำงานร่วมกันอีกต่อไป ปัญหาของผมกับเชลซีนั้นคือเรื่องของความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นกับประธานสโมสร เป็นเรื่องที่สะสมมานาน ไม่ได้เกี่ยวกับผลงานในสนาม ต่อให้ผมพาทีมชนะ แต่อาทิตย์ต่อไปเจออุปสรรคฟอร์มสะดุดอีก ก็คงไม่แคล้วต้องโดนบั่นคออยู่ดี"
"ผมคงจะไม่บอกพวกคุณหรอกว่าเราขัดแย้งกันเรื่องอะไรบ้าง เพราะไม่อยากเอาเวลาอันมีค่ามานั่งฟื้นฟอยหาตะเข็บ ระหว่างเชลซีกับผมนั้นมันจบสิ้นไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแคร์อะไรต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะซื้อใคร ขายใคร ใครจะมาเป็นผู้จัดการทีม เพราะผมไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเชลซี อีกต่อไปแล้ว”
“บอกได้แต่เพียงว่าผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำไว้ที่นั่น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงฉากสุดท้าย ไฮไลท์สำคัญที่สุดคือการเป็นแชมปเอฟ.เอ. คัพ เมื่อปีที่ผ่านมา เพราะเวมบลีย์คือสนามอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผมเคยนั่งดูเกมนัดชิงชนะเลิศสมัยเด็กๆมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงวันที่เราขึ้นไปชูถ้วยเกียรติยศอันเก่าแก่ นั่นคือวันที่พิเศษสุดของผม”
"สำหรับคนที่คิดว่าผมจะโกรธหรืออาฆาตแค้นใครนั้น ไม่มีหรอก และไม่ตีอกชกตัวเองด้วย เพราะผมคือ โฮเซ มูรินโญ ไม่ว่าส่วนดีหรือส่วนเสีย ทุกอย่างคือส่วนประกอบของมูรินโญ ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองเด็ดขาด...ไม่มีวัน"
"คุณจะให้ผมโทษตัวเองได้อย่างไร เมื่อในวันที่ผมจากไป ไม่เห็นใครในประเทศนี้มีความสุขสักราย ไม่ว่าจะเป็นแฟนบอล คู่ต่อสู้ หรือแม้กระทั่งผู้ตัดสินเองก็ตาม ไลน์แมนบางรายถึงกับโทรมาหาผมแล้วบอกว่าเศร้าจริงที่เห็นคุณจากไป"
ถูกหล่ะ แม้การทำทีมของกุนซือผู้นี้อาจจะดูสนุกไม่เท่าสไตล์ เวนเกอร์ หรือ เฟอร์กี้ แต่แน่นอน บุคลิกของตัวเขาเองนั่นแหล่ะคือสีสันและเอกลักษณ์ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมาช่วงใหญ่ๆ ยากที่จะหาใครเสมอเหมือน
การถูกเด้งออกจากตำแหน่งอย่างกะทันหันนั้น ไม่มีคำใดอธิบายความรู้สึกของ มูรินโญ ได้มากไปกว่า "ใจสลาย" เพราะเชลซี คือทุกสิ่งทุกอย่าง เปรียบดั่งชีวิตจิตวิญญาณของโค้ชหนุ่มผู้นี้ การพรากจากสโมสรและคนที่ทำงานกับเขาด้วย “หัวใจ”นั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง
ครั้งหนึ่ง มูรินโญ เคยพูดว่าจะไม่มีวันลาออกจากเชลซี ถ้าให้ลงจากตำแหน่งต้องไล่สถานเดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายต้องทำใจยอมรับและเจรจากับสโมสรเพื่อหาทางออกในการลงจากเก้าอี้วันสุดท้าย เมื่อโรมัน อบราโมวิช ตัดสินใจไม่เอาเขาอย่างแน่นอนแล้ว
หลังเกมกับโรเซนบอร์ก มูรินโญ ถูกเรียกตัวด่วนเข้าพบประธานสโมสรและบอร์ดบริหาร สุดท้ายตกลงกันได้ในการยกเลิกสัญญาที่เหลืออยู่อีกเกือบ 3 ปี โดยกุนซือจอมเครียดรับเงินชดเชยไปใช้เล่นระหว่างตกงานเป็นเงินถึง 25 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,750 ล้านบาท เงินจำนวนนี้แม้จะทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีไปในชั่วพริบตา แต่คงไม่ทำให้ลืมความเจ็บปวดในวันที่ต้องอำลาถิ่นแสตมฟอร์ดบริดจ์เป็นแน่
"เป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดในชีวิตผม นี่คือช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดในชีวิตการทำงาน ผมผ่านมาหลายทีมแต่นี่คือช่วงเวลาที่ผมอยู่กับสโมสรใดสโมสรหนึ่งนานที่สุด มันจึงเกิดความผูกพัน ผมรักสโมสรและคนที่นี่ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน" กุนซือจอมเครียดเผย
"มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องพยายามควบคุมความเสียใจและความอ่อนไหวของตนเอง คุณอาจสงสัยว่าผมเสียน้ำตาบ้างหรือไม่ บอกได้เลยว่าใช่ แต่ผมพยายามหยุดมันไว้เพราะไม่อยากให้ตนเองอ่อนแอเกินไป ผมจะไม่ได้ทำงานกับผู้คนที่ยอดเยี่ยมหลายคนซึ่งกอดคอร่วมกันมาเป็นเวลานาน มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันคือเรื่องเศร้า”
"การลงจากตำแหน่งครั้งนี้ไม่ใช่ทั้งการลาออก และถูกไล่ออก แต่เป็นการตกลงกันระหว่างสองฝ่ายที่จะไม่ทำงานร่วมกันอีกต่อไป ปัญหาของผมกับเชลซีนั้นคือเรื่องของความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นกับประธานสโมสร เป็นเรื่องที่สะสมมานาน ไม่ได้เกี่ยวกับผลงานในสนาม ต่อให้ผมพาทีมชนะ แต่อาทิตย์ต่อไปเจออุปสรรคฟอร์มสะดุดอีก ก็คงไม่แคล้วต้องโดนบั่นคออยู่ดี"
"ผมคงจะไม่บอกพวกคุณหรอกว่าเราขัดแย้งกันเรื่องอะไรบ้าง เพราะไม่อยากเอาเวลาอันมีค่ามานั่งฟื้นฟอยหาตะเข็บ ระหว่างเชลซีกับผมนั้นมันจบสิ้นไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแคร์อะไรต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะซื้อใคร ขายใคร ใครจะมาเป็นผู้จัดการทีม เพราะผมไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเชลซี อีกต่อไปแล้ว”
“บอกได้แต่เพียงว่าผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำไว้ที่นั่น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงฉากสุดท้าย ไฮไลท์สำคัญที่สุดคือการเป็นแชมปเอฟ.เอ. คัพ เมื่อปีที่ผ่านมา เพราะเวมบลีย์คือสนามอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผมเคยนั่งดูเกมนัดชิงชนะเลิศสมัยเด็กๆมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงวันที่เราขึ้นไปชูถ้วยเกียรติยศอันเก่าแก่ นั่นคือวันที่พิเศษสุดของผม”
"สำหรับคนที่คิดว่าผมจะโกรธหรืออาฆาตแค้นใครนั้น ไม่มีหรอก และไม่ตีอกชกตัวเองด้วย เพราะผมคือ โฮเซ มูรินโญ ไม่ว่าส่วนดีหรือส่วนเสีย ทุกอย่างคือส่วนประกอบของมูรินโญ ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองเด็ดขาด...ไม่มีวัน"
"คุณจะให้ผมโทษตัวเองได้อย่างไร เมื่อในวันที่ผมจากไป ไม่เห็นใครในประเทศนี้มีความสุขสักราย ไม่ว่าจะเป็นแฟนบอล คู่ต่อสู้ หรือแม้กระทั่งผู้ตัดสินเองก็ตาม ไลน์แมนบางรายถึงกับโทรมาหาผมแล้วบอกว่าเศร้าจริงที่เห็นคุณจากไป"
ถูกหล่ะ แม้การทำทีมของกุนซือผู้นี้อาจจะดูสนุกไม่เท่าสไตล์ เวนเกอร์ หรือ เฟอร์กี้ แต่แน่นอน บุคลิกของตัวเขาเองนั่นแหล่ะคือสีสันและเอกลักษณ์ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมาช่วงใหญ่ๆ ยากที่จะหาใครเสมอเหมือน